โคลงโลกนิติ ฉบับศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ


๏ อัญขยมบรมนเรศเรื้อง รามวงศ์
พระผ่านแผ่นไผททรง สืบไท้
แสวงยิ่งสิ่งสดับองค์ โอวาท
หวังประชาชนให้ อ่านแจ้งคำโคลง ฯ


๏ ครรโลงโลกนิตินี้ นมนาน
มีแต่โบราณกาล เก่าพร้อง
เป็นสุภสิตสาร สอนจิต
กลดั่งสร้อยสอดคล้อง เวี่ยไว้ในกรรณ ฯ


๏ ทศนัขนอบน้อมมิ่ง อุตมางค์
ไตรรัตน์จัดเบญจางค์ แจ่มพร้อม
จักพร้องโลกนิติปาง สดับแต่ เดิมพ่อ
อรรถอื่นอ้างเลศล้อม ต่างต้องคัมภีร์ ฯ


๏ ถวายกรกรรพุ่มเพี้ยง บวรมาลย์มิ่งแฮ
ไตรรัตน์เรียบไตรทวาร เวียดเกล้า
โลกนิติสืบสาร ของเก่า
เตือนจิตสาธุชนเช้า ค่ำค้ำชูใจ ฯ


๏ โลกนิติในโลกล้วน แก่นสาร
คือบิดามารดาอาจารย์ เจี่ยวแล้
เชาเจ้าจ่อมใจบาณ ทิตร่ำ เรียนแฮ
เบิกศิลปปรีชาแท้ เลิศแล้วเมธี ฯ

๓ (๔)
๏ ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง
คือคนหมู่ไปหา คบเพื่อน พาลนา
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง เฟื่องให้เสียพงศ์ ฯ

๔ (๓)
๏ ใบพ้อพันห่อหุ้ม กฤษณา
หอมระรวยรสพา เพริศด้วย
คือคนเสพเสน่หา นักปราชญ์
ความสุขซาบฤาม้วย ดุจไม้กลิ่นหอม ฯ

๕ (๖)
๏ ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ
ภายนอกแดงดูฉัน ชาดบ้าย
ภายในย่อมแมลงวัน หนอนบ่อน
ดุจดังคนใจร้าย นอกนั้นดูงาม ฯ

๖ (๗)
๏ ขนุนสุกสล้างแห่ง สาขา
ภายนอกเห็นหนามหนา หนั่นแท้
ภายในย่อมรสา เอมโอช
สาธุชนนั้นแล้ เลิศด้วยดวงใจ ฯ

๗ (๘)
๏ ยางขาวขนเรียบร้อย ดูดี
ภายนอกหมดใสสี เปรียบฝ้าย
กินสัตว์เสพปลามี ชีวิต
เฉกเช่นชนชาติร้าย นอกนั้นนวลงาม ฯ

๘ (๗)
๏ รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า
เสพสัตว์ที่มรณัง นฤโทษ
ดังจิตสาธุชนกล้า กลั่นสร้างทางผล ฯ

๙ (๑๐)
๏ คนพาลผู้บาปแท้ ทุรจิต
ไปสู่หาบัณทิต ค่ำเช้า
ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์ บ่ทราบ ใจนา
คือจวักตักเข้า ห่อนรู้รสแกง ฯ

๑๐ (๙)
๏ ผู้ใดใจฉลาดล้ำ ปัญญา
ได้สดับปราชญ์เจรจา อาจรู้
ยินคำบัดเดี๋ยวมา ซับซาบ ใจนา
คือมลิ้นคนผู้ ทราบรู้รสแกง ฯ

๑๑ (๑๒)
๏ หมูเห็นสีหราชท้า ชวนรบ
กูสี่ตีนกูพบ ท่านไซร้
อย่ากลัวท่านอย่าหลบ หลีกจาก กูนา
ท่านสี่ตีนอย่าได้ วากเว้วางหนี ฯ

๑๒ (๑๑)
๏ สีหราชร้องว่าโอ้ พาลหมู
ทรชาติครั้นเห็นกู เกลียดใกล้
ฤามึงใคร่รบดนู มึงมาศ เองนา
กูเกลียดมึงกูให้ พ่ายแพ้ภัยตัว ฯ

๑๓
๏ กบเกิดในสระใต้ บัวบาน
ฤาห่อนรู้รสมาลย์ หนึ่งน้อย
ภุมราอยู่ไกลสถาน นับโยชน์ ก็ดี
บินโบกมาค้อยค้อย เกลือกเคล้าเสาวคนธ์ ฯ

๑๔
๏ ใจชนใจชั่วช้า โฉงเฉง
ใจจักสอนใจเอง ไป่ได้
ใจปราชญ์ดัดตามเพลง พลันง่าย
ดุจช่างปืนดัดไม้ แต่งให้ปืนตรง ฯ

๑๕
๏ ไม้ค้อมมีลูกน้อม นวยงาม
คือสัปปุรุษสอนตาม ง่ายแท้
ไม้ผุดั่งคนทราม สอนยาก
ดัดก็หักแหลกแล้ ห่อนรื้อโดยตาม ฯ

๑๖
๏ เป็นคนควรรอบรู้ สมาคม
สองประการนิยม กล่าวไว้
หนึ่งพาลหนึ่งอุดม นักปราชญ์
สองสิ่งนี้จงให้ เลือกรู้สมาคม ฯ

๑๗
๏ คนใดไปเสพด้วย คนพาล
จักทุกข์ทนเนานาน เนิ่นแท้
ใครเสพท่วยทรงญาณ เปรมปราชญ์
เสวยสุขล้ำเลิศแท้ เพราะได้สดับดี ฯ

๑๘
๏ ได้เห็นนักปราชญ์ไซร้ เป็นสุข
อยู่ร่วมเรือนหายทุกข์ ค่ำเช้า
ผู้พาลสั่งสอนปลุก ใจดั่ง พาลนา
ยลเยี่ยงนกแขกเต้า ตกต้องมือโจร ฯ

๑๙
๏ จงนับสัปบุรุษรู้ บุญกรรม์
จะละหลีกพาลอัน ชั่วร้าย
จงสร้างสืบบุญธรรม์ ทุกเมื่อ
จงนึกนิตย์ชีพคล้าย ดุจด้วยฟองชล ฯ

๒๐
๏ คบกากาโหดให้ เสียพงศ์
พาตระกูลเหมหงส์ แหลกด้วย
คบคนชั่วจักปลง ความชอบ เสียนา
ตราบลูกหลานเหลนม้วย ไม่ม้วยนินทา ฯ

๒๑
๏ มดแดงแมลงป่องไว้ พิษหาง
งูจะเข็บพิษวาง แห่งเขี้ยว
ทรชนทั่วสรรพางค์ พิษอยู่
เพราะประพฤติมันเกี้ยว เกี่ยงร้ายแกมดี ฯ

๒๒
๏ นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี ฯ

๒๓
๏ ความรู้ผู้ปราชญ์นั้น นักเรียน
ฝนทั่งเท่าเข็มเพียร ผ่ายหน้า
คนเกียจเกลียดหน่ายเวียน วนจิต
กลอุทกในตระกร้า เปี่ยมล้นฤามี ฯ

๒๔
๏ กละออมเพ็ญเพียบน้ำ ฤาติง
โอ่งอ่างพร่องชลชิง เฟื่องหม้อ
ผู้ปราชญ์ห่อนสุงสิง เยียใหญ่
คนโฉดรู้น้อยก้อ พลอดนั้นประมาณ ฯ

๒๕
๏ งาสารฤๅห่อนเหี้ยน หดคืน
คำกล่าวสาธุชนยืน อย่างนั้น
ทุรชนกล่าวคำฝืน คำเล่า
หัวเต่ายาวแล้วสั้น เล่ห์ลิ้นทรชน ฯ

๒๖
๏ ทรชนอย่าเคียดแค้น อย่าสนิท
อย่าห่างศัตรูชิด อย่าใกล้
คือไฟถ่านแรงฤทธิ์ ถือถลาก มือนา
แม้นดับแล้วบ่ไหม้ หม่นต้องมือดำ ฯ

๒๗
๏ มิตรพาลอย่าคบให้ สนิทนัก
พาลใช่มิตรอย่ามัก กล่าวใกล้
ครั้นคราวเคียดคุมชัก เอาโทษ ใส่นา
รู้เหตุสิ่งใดไซร้ ส่อสิ้นกลางสนาม ฯ

๒๘
๏ หมาใดตัวร้ายขบ บาทา
อย่าขบตอบต่อหมา อย่าขึ้ง
ทรชนชาติช่วงทา- รุณโทษ
อย่าโกรธอย่าหน้าบึ้ง ตอบถ้อยถือความ ฯ

๒๙
๏ ลูกสะเดาน้ำผึ้งซาบ โทรมปน
แล้วปลุกปองรสคนธ์ แอบอ้อย
ตราบเท่าออกดอกผล พวงดก
ขมแห่งสะเดาน้อย หนึ่งรู้โรยรา ฯ

๓๐
๏ พริกเผ็ดใครให้เผ็ด ฉันใด
หนามย่อมแหลมเองใคร เซี่ยมได้
จันทน์กฤษณาไฉน ใครอบ หอมฤๅ
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้ เพราะด้วยฉลาดเอง ฯ

๓๑
๏ จันทน์แห้งกลิ่นห่อนได้ ดรธาน
อ้อยหีบชานยังหวาน โอชอ้อย
ช้างเข้าศึกเสี่ยมสาร ยกย่าง งามนา
บัณทิตแม้นทุกข์ร้อย เท่ารื้อลืมธรรม ฯ

๓๒
๏ ฝูงหงส์หลงเข้าสู่ ฝูงกา
สีหราชเคียงโคนา คลาดเคล้า
ม้าต้นระคนลา เลวชาติ
นักปราชญ์พาลพาเต้า สี่นี้ไฉนงาม ฯ

๓๓
๏ แมลงวันแสวงเสพด้วย ลามก
พาลชาติเสาะสิ่งรก เรื่องร้าย
ภุมราเห็จเหินหก หาบุษ- บานา
นักปราชญ์ฤๅห่อนหม้าย หมั่นสู้แสวงธรรม ฯ

๓๔
๏ เนื้อปองน้ำหญ้าบ่ ปองทอง
ลิงบ่ปองรัตน์ปอง ลูกไม้
หมูปองอสุจิของ- หอมห่อน ปองนา
คนเคลิบเคลิ้มบ้าใบ้ ห่อนรู้ปองธรรม ฯ

๓๕
๏ กายเกิดพยาธิโรคร้าย ยาหาย
แต่พยศยาไป่วาย ตราบม้วย
ชาติเสือห่อนหายลาย ลบผ่อง
กล้วยก็กล้วยคงกล้วย กลับกล้ายฤๅมี ฯ

๓๖
๏ ขุนเขาสูงร้อยโยชน์ คณนา
ขุนปราบด้วยโยธา ราบได้
จักล้างพยศสา หัสยาก
ยศศักดิ์ให้เท่าให้ พยศนั้นฤาหาย ฯ

๓๗
๏ คบคนผู้โฉดเคลิ้ม อับผล
หญิงเคียดอย่าระคน ร่วมห้อง
อย่าคบหมู่ทรชน สอนยาก
บัณทิตแม้ตกต้อง โทษสู้สมาคม ฯ

๓๘
๏ ภูเขาอเนกล้ำ หากมี
บมิหนักแผ่นธรณี หน่อยไซร้
หนักนักแต่กระลี ลวงโลก
อันจักทรงทานได้ แด่พื้นนรกานต์ ฯ

๓๙
๏ ภูเขาทั้งแท่งล้วน ศิลา
ลมพยุพัดพา บ่ขึ้น
สรรเสริญแลนินทา คนกล่าว
ใจปราชญ์ฤาเฟื่องพื้น ห่อนได้จินต์จล ฯ

๔๐
๏ ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน
ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้
ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า
ห้ามดังนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา ฯ

๔๑ (๔๒,๔๓,๔๔)
๏ ภูเขาเหลือแหล่ล้วน ศิลา
หามณีจินดา ยากได้
ฝูงชนเกิดนานา ในโลก
หานักปราชญ์นั้นไซร้ เลือกแล้วฤามี ฯ

๔๒ (๔๑,๔๒,๔๓)
๏ ป่าหลวงหลายโยชน์พร้อม พฤกษา
หาแก่นจันทน์กฤษณา ยากไซร้
ฝูงคนเกิดมีมา เหลือแหล่
หาปราชญ์ฤาจักได้ ยากแท้ควรสงวน ฯ

๔๓ (๔๑,๔๒,๔๔)
๏ มัจฉามีทั่วท้อง ชโลธร
หาเงือกงูมังกร ยากได้
ทั่วด้าวพระนคร คนมาก มีนา
จักเสาะสัปปุรุษไซร้ ยากแท้จักมี ฯ

๔๔ (๔๑,๔๒,๔๓)
๏· ด ารามีมากร้อย ถึงพัน
บ่เปรียบกับดวงจันทร์ หนึ่งได้
คนพาลมากอนันต์ ในโลก
จะเทียบเท่าปราชญ์ไซร้ ยากแท้ฤาถึง ฯ

๔๕ (๔๖,๔๗)
๏ เหมหงส์เลี้ยงชีพด้วย สาคร
ช้างพึ่งพนาดร ป่าไม้
ภุมราบุษบากร ครองร่าง ตนนา
นักปราชญ์เลี้ยงตัวได้ เพื่อด้วยปัญญา ฯ

๔๖ (๔๕,๔๗)
๏ นกแร้งบินได้เพื่อ เวหา
หมู่จระเข้เต่าปลา พึ่งน้ำ
เข็ญใจพึ่งราชา จอมราช
ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำ เพื่อน้ำนมแรง ฯ

๔๗ (๔๕,๔๖)
๏ ป่าพึ่งพาลพยัคฆ์ร้าย ราวี
เสือพึ่งไพรพงพี เถื่อนถ้ำ
ความชั่วพึ่งความดี เท็จพึ่ง จริงนา
เรือพึ่งแรงน้ำน้ำ หากรู้คุณเรือ ฯ

๔๘
๏ ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ปราชญ์รู้เชิงกัน ฯ

๔๙ (๕๐,๕๑,๕๒,๕๓)
๏ มีอายุร้อยหนึ่ง นานนัก
ศีลชื่อปัญจางค์จัก ไป่รู้
ขวบเดียวเด็กรู้รัก- ษานิจ ศีลนา
พระตรัสสรรเสริญผู้ เด็กนั้นเกิดศรี ฯ

๕๐ (๔๙,๕๑,๕๒,๕๓)
๏ คนใดยืนอยู่ร้อย พรรษา
ใจบ่มีปรีชา โหดไร้
วันเดียวเด็กเกิดมา ใจปราชญ์
สรรเพชญ์บัณฑูรไว้ เด็กนั้นควรยอ ฯ

๕๑ (๔๙,๕๐,๕๒,๕๓)
๏ คนใดยืนเหยียบร้อย ขวบปี
ความอุตส่าหฤามี เท่าก้อย
เด็กเกิดขวบหนึ่งดี เพียรพาก
พระตรัสว่าเด็กน้อย นี่เนื้อเวไนย ฯ

๕๒ (๔๙,๕๐,๕๑,๕๓)
๏ อายุถึงร้อยขวบ เจียรกาล
ธัมโมชอันโอฬาร บ่รู้
เด็กน้อยเกิดประมาณ วันหนึ่ง
เห็นถ่องธรรมยิ่งผู้ แก่ร้อยพรรษา ฯ

๕๓ (๔๙,๕๐,๕๑,๕๒)
๏ มีอายุอยู่ร้อย ปีปลาย
ความเกิดแลความตาย ไป่รู้
วันเดียวเด็กหญิงชาย เห็นเกิด ตายนา
ลูกอ่อนนั้นยิ่งผู้ แก่ร้อยปีปลาย ฯ

๕๔
๏ ธิรางค์รู้ธรรมแม้ มากหลาย
บ่กล่าวให้หญิงชาย ทั่วรู้
ดุจหญิงสกลกาย งามเลิศ
อยู่ร่วมเรือนผัวผู้ โหดแท้ขันที ฯ

๕๕
๏ เว้นวิจารณ์ว่างเว้น สดับฟัง
เว้นที่ถามอันยัง ไป่รู้
เว้นเล่าลิขิตสัง- เกตว่าง เว้นนา
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้ ปราชญ์ได้ฤามี ฯ

๕๖
๏ รู้ธรรมเทียมเท่าผู้ ทรงไตร
เจนจัดอรรถภายใน ลึกล้น
กล่าวแก้สิ่งสงสัย เลอะเลื่อน
รสพระธรรมอั้นอ้น ว่ารู้ใครชม ฯ

๕๗
๏ รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำลึกเหลือ ฯ

๕๘
๏ รูปชั่วมักแต่งแกล้ง เกลาทรง
ใจขลาดมักอาจอง อวดสู้
น้ำพร่องกะละออมคง กระฉอก ฉานนา
เฉาโฉดโอษฐ์อวดรู้ ว่ารู้ใครเทียม ฯ

๕๙
๏ จระเข้คับน่านน้ำ ไฉนหา ภักษ์เฮย
รถใหญ่กว่ารัถยา ยากแท้
เสือใหญ่กว่าวนา ไฉนอยู่ ได้แฮ
เรือเขื่องคับชเลแล้ แล่นโล้ไปไฉน ฯ

๖๐ (๔๓๕)
๏ มณฑกทำเทียบท้าว ราชสีห์
แมวว่ากูพยัคฆี แกว่นกล้า
นกจอกว่าฤทธี กูยิ่ง ครุฑนา
คนประดากขุกมีข้า ยิ่งนั้นแสนทวี ฯ

๖๑
๏ หิ่งห้อยส่องก้นสู้ พระจันทร์
ปัดเทียบเทียมรัตนอัน เอี่ยมข้า
ทองเหลืองหลู่สุวรรณ ธรรมชาติ
พาลว่าตนเองอ้า อาจล้ำเลยกวี ฯ

๖๒
๏ เสือผอมกวางวิ่งเข้า โจมขวิด
ไป่ว่าเสือมีฤทธิ์ เลิศล้ำ
เล็บเสือดั่งคมกฤช เสือซ่อน ไว้นา
ครั้นปะปามล้มคว่ำ จึ่งรู้จักเสือ ฯ

๖๓
๏ ทองเหลืองเปลื้องร้ายห่อน เห็นมี
ขัดเท่าขัดราคี เล่าไซร้
นพคุณหมดใสสี เสร็จโทษ
ถึงบ่แต่งตั้งไว้ แจ่มแจ้งไพบูลย์ ฯ

๖๔
๏ พระสมุทรไหวหวาดห้วย คลองสรวล
เมรุพลวกปลวกสำรวล ร่าเร้า
สีหราชร่ำคร่ำครวญ สุนัขเยาะ หยันนา
สุริยส่องยามเย็นเข้า หิ่งห้อยยินดี ฯ

๖๕
๏ แมวล่าหนูแซ่ซี้ จรจรัล
หมาล่าวิฬาร์ผัน สู่หล้าง
ครูล่าศิษย์และธรรม์ คบเพื่อน พาลนา
เสือล่าป่าแรมร้าง หมดไม้ไพรสณฑ์ ฯ

๖๖
๏ จามรีขนข้องอยู่ หยุดปลด
ชีพบ่รักรักยศ ยิ่งไซร้
สัตว์โลกซึ่งสมมติ มีชาติ
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้ ยศซ้องสรรเสริญ ฯ

๖๗
๏ นพคุณใส่เบ้าสูบ แสนที
ค้อนเหล็กรุมรันตี ห่อนม้วย
บ่เจ็บเท่าธุลี สักหยาด
เจ็บแต่ท่านชั่งด้วย กล่ำน้อยหัวดำ ฯ

๖๘
๏ เสียสินสงวนศักดิ์ไว้ วงศ์หงส์
เสียศักดิ์สู้ประสงค์ สิ่งรู้
เสียรู้เร่งดำรง ความสัตย์ ไว้นา
เสียสัตย์อย่าเสียสู้ ชีพม้วยมรณา ฯ

๖๙
๏ ตัดจันทน์ฟันม่วงไม้ จัมบก
แปลงปลูกหนามรามรก รอบเรื้อ
ฆ่าหงส์มยุรนก กระเหว่า เสียนา
เลี้ยงหมู่กากินเนื้อ ว่ารู้ลีลา ฯ

๗๐
๏ เอาสารเทียมอูฐโอ้ เป็นมูล
เก็บปัดเทียมแก้วปูน ค่าไว้
เมืองใดพิกัดพูน มีดั่ง นี้นา
นับแต่ไกลอย่าได้ ไต่เต้าเมืองเข็ญ ฯ

๗๑
๏ น้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม
ทรายเหลือหางยูงงาม ว่าหญ้า
ตาทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริศ
ลิงว่าหว้าหวังหว้า หว่าดิ้นโดยตาม ฯ

๗๒
๏ สังขารหวัวผู้ว่า ตนทระนง
ทรัพย์ย่อมหวัวคนจง ว่าเจ้า
หญิงหวัวแก่ชายหลง ชมลูก
มัจจุราชหวัวผู้เถ้า บ่รู้วันตาย ฯ

๗๓
๏ มือด้วนคิดจะมล้าง เขาหมาย
ปากด้วนถ่มน้ำลาย เลียบฟ้า
หิ่งห้อยแข่งแสงฉาย สุริเยศ
คนทุพพลอวดกล้า แข่งผู้มีบุญ ฯ

๗๔ (๓๙๕,๓๙๖,๓๙๗)
๏ แว่นตามาใส่ผู้ อันธการ
คนหูหนวกฟังสำนาน ขับร้อง
คนใบ้ใฝ่แสดงสาร โคลงกาพย์
เฉกเครื่องประดับซ้อง ใส่ให้วานร ฯ

๗๕
๏ วัดช้างเบื้องบาทรู้ จักสาร
วัดอุทกชักกมุทมาลย์ แม่นรู้
ดูครูสดับโวหาร สอนศิษย์
ดูตระกูลเผ่าผู้ เพื่อด้วยเจรจา ฯ

๗๖
๏ พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดวา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง ฯ

๗๗
๏ ไม้ล้มควรค่ามได้ โดยหมาย
คนล้มจักข้ามกราย ห่อนได้
ทำชอบชอบห่อนหาย ชอบกลับ สนองนา
ทำผิดผิดจักให้ โทษแท้ถึงตน ฯ

๗๘
๏ ไม้ล้มจะค่ามให้ ดูการ
คนท่าวล้มข้ามพาน ห่อนได้
เสือผอมอย่าอวดหาญ เข้าผลัก เสือแฮ
พาลประทุษฐ์ตกไร้ อย่าได้ทำคุณ ฯ

๗๙
๏ ทรชนยากไร้อย่า ทำคุณ
อย่าหยิบทรัพย์อุดหนุน หย่อนให้
ก่อเกื้อเกือบเกินทุน มันมั่ง มีนา
ครั้นค่อยคลายวายไร้ กลับสู้ดูแคลน ฯ

๘๐
๏ แม้นทำคุณท่านได้ ถึงพัน
ครั้นโทษมีแต่อัน หนึ่งไซร้
ติฉินหมิ่นคำหยัน เยาะกล่าว
กลบลบคุณหลังได้ ถึงด้วยพันทวี ฯ

๘๑
๏ ทำคุณท่านห่อนรู้ คุณสนอง
ท่านบ่แทนคุณปอง โทษให้
กลกาแต่งยูงทอง ลายเลิศ
ยูงเอาหมึกหม้อไล้ ลูบสิ้นสรรพางค์ ฯ

๘๒
๏ เทพาพันเทพเรื้อง ฤทธิรงค์
บ่เท่าพระอินทร์องค์ หนึ่งได้
คุณพันหนึ่งดำรง ความชอบ ไว้นา
มีโทษอันหนึ่งไซร้ กลบกล้ำพันคุณ ฯ

๘๓
๏ ใครซื่อซื่อต่อตั้ง ตามกัน
ใครคดคดผ่อนผัน ตอบเต้า
ทองแดงว่าสุวรรณ ยังถ่อง เหมือนฤา
ดุจลูกสูส่องเถ้า ว่าโอ้เป็นลิง ฯ

๘๔
๏ ใครทำโทษโทษนั้น แทนทด
ใครคิดจิตคดคด ต่อบ้าง
ใครจริงจึ่งจริงจรด รักต่อกันนา
ใครใคร่ร้างเร่งร้าง รักร้างแรมไกล ฯ

๘๕
๏ นายรักไพร่ไพร่พร้อม รักนาย
มีศึกสู้จนตาย ต่อแย้ง
นายเบียนไพร่กระจาย จากหมู่
นายบ่รักไพร่แกล้ง ล่อล้างผลาญนาย ฯ

๘๖
๏ ข้าท้าวเอาจิตท้าว แม่นหมาย
บ่าวท่านเอาใจนาย แม่นหมั้น
ศิษย์ท่านผ่อนผันผาย โดยจิต ครูนา
อยู่ที่เรือนตัวนั้น แต่น้ำใจเอง ฯ

๘๗
๏ รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง ป่าไม้มาบัง ฯ

๘๘
๏ ให้ท่านท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่านท่านควรครอง ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แต่ผู้ทรชน ฯ

๘๙
๏ แม้นมีความรู้ดั่ง สัพพัญญู
ผิบ่มีคนชู ห่อนขึ้น
หัวแหวนค่าเมืองตรู ตาโลก
ทองบ่รองรับพื้น ห่อนแก้วมีศรี ฯ

๙๐
๏ ราชรถปรากฏด้วย ธงชัย
ควันประจักษ์แก่ไฟ เที่ยงแท้
ราชาอิสระใน สมบัติ
ชายย่อมเฉลิมเลิศแล้ ปิ่นแก้วเกศหญิง ฯ

๙๑
๏ รำฟ้อนสุนทรด้วย รูปา
ร้องขับศัพท์เสน่หา ยิ่งแท้
มวยปล้ำล่ำสันสา- มารถจึ่ง· ดีแฮ
รักกับชังนั้นแล้ เพื่อลิ้นเจรจา ฯ

๙๒
๏ กระเหว่าเสียงเพราะแท้ แก่ตัว
หญิงเลิศเพราะรักผัว แม่นหมั้น
นักปราชญ์มาตรรูปมัว หมองเงื่อน งามนา
เพราะเพื่อรสธรรมนั้น ส่องให้เห็นงาม ฯ

๙๓
๏ นารายณ์วายเว้นจาก อาภรณ์
อากาศขาดสุริยจร แจ่มหล้า
เมืองใดบ่มีวร นักปราชญ์
แม้ว่างามล้นฟ้า ห่อนได้งามเลย ฯ

๙๔
๏ เขาใดไร้ถ้ำราช- สีห์หมาง
สระโหดหงส์ละวาง วากเว้
พฤกษ์ใดบกใบบาง บกหน่าย
สาวซัดชู้โอ้เอ้ เพราะชู้ชายทราม ฯ

๙๕
๏ ป่าใดไกลพยัคฆ์ร้าย ราวี
ไม้หมดม้วยบ่มี ร่มเชื้อ
หญิงยศงดงามดี ผัวหน่าย
เป็นที่หมิ่นชายยื้อ หยอกเย้าเสียตน ฯ

๙๖
๏ พลูหมากจากโอษฐ์โอ้ เสียศรี
หญิงจากจอมสามี ครอบเกล้า
เรือนปราศจากบุตรี ดรุณเด็ก
เมืองจากจอมภพเจ้า สี่นี้ฤๅงาม ฯ

๙๗
๏ เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี
อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า
สามวันจากนารี เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า อับเศร้าศรีหมอง ฯ

๙๘
๏· ด อยใดมีถ้ำราช- สีห์ประสงค์
เหมืองมาบมีบัวหงส์ หากใกล้
ต้นไม้พุ่มพัวพง นกมาก มีนา
สาวหนุ่มตามชู้ไซร้ เพราะชู้ชอบตา ฯ

๙๙
๏ เปือกตมชมชื่นเชื้อ กาสร
หงส์กับบุษบากร ชื่นช้อย
ภิกษุเสพสังวร ศีลสุข ไซร้นา
บุรุษรสรักร้อย เท่าน้อมในหญิง ฯ

๑๐๐
๏ ใครจักผูกโลกแม้ รัดรึง
เหล็กเท่าลำตาลตรึง ไป่หมั้น
มนตร์ยาผูกนานหึง หายเสื่อม
ผูกเพื่อไมตรีนั้น แน่นเท้าวันตาย ฯ

๑๐๑
๏ จำสารสับปลอกเกี้ยว ตีนสาร
จำนาคมนตร์โอฬาร ผูกแท้
จำคนเพื่อใจหวาน ต่างปลอก
จำโลกนี้นั่นแล้ แต่ด้วยไมตรี ฯ

๑๐๒
๏ เรียนพระธรรมแท้ผูก ศาสนา
ปลอกผูกคชตรึงตรา ตรากหมั้น
มนตร์ดลแลหยูกยา สมรรถผูก งูแฮ
ผูกโลกทั้งหลายนั้น แน่นด้วยไมตรี ฯ

๑๐๓
๏ ผจญคนมักโกรธด้วย ไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดี ต่อตั้ง
ผจญคนจิตโลภมี ทรัพย์เผื่อ แผ่นา
ผจญอสัตย์ให้ยั้ง หยุดด้วยสัตยา ฯ

๑๐๔
๏ รบชนะศึกได้ ในณรงค์
รบแม่เรือนตัวยง ขยาดแพ้
รบใจชักให้คง ความสัตย์
ถือว่าผู้นั้นแล้ เลิศล้ำชายชาญ ฯ

๑๐๕
๏ คนใดคนหนึ่งผู้ ใจฉกรรจ์
เคียดฆ่าคนอนันต์ หนักแท้
ไป่ปานบุรุษอัน ผจญจิต เองนา
เธียรท่านเยินยอแล้ ว่าผู้มีชัย ฯ

๑๐๖
๏ แพ้ศึกหลบหลีกได้ รอดตน
แพ้คดีทุกข์ทน ทรัพย์ผ้าย
แพ้เบี้ยค่นจนจน ตัวยาก ก็ดี
แพ้แม่เรือนทำร้าย ยากเท้าบรรลัย ฯ

๑๐๗
๏ สงครามแสวงท่วยแกล้ว อาสา
กลคดีพึงหา ท่านรู้
ยามกินรสโอชา ชวนเพื่อน กินนา
หาปราชญ์ล้ำเลิศผู้ เมื่อแก้ปริศนา ฯ

๑๐๘
๏ แสวงรู้พึงคบด้วย บัณฑิต
แสวงทรัพย์คบพาณิช ง่ายไซร้
แสวงหายศศักดิ์ชิด ชอบราช
ผิใคร่ได้ลูกไซร้ เสพส้องเมียสาว ฯ

๑๐๙
๏ หายากเชิงรอบรู้ การกิจ
หายากเชิงชาญชิด ชอบใช้
หายากเช่นเชิงมิตร คุงชีพ
หายากเชิงช่างให้ ชอบน้ำใจจริง ฯ

๑๑๐
๏ ร้อยคนหาแกว่นแกล้ว กลางณรงค์
พันหนึ่งหาปัญญายง ยิ่งรู้
แสนคนเสาะคนตรง ยังยาก
ไป่เท่าคนหนึ่งผู้ อาจอ้างอวยทาน ฯ

๑๑๑
๏ ร้อยคนหาแกว่นแกล้ว กลางณรงค์
พันหนึ่งหาปัญญายง ยิ่งรู้
แสนคนเสาะคนตรง ยิ่งยาก
ไป่เท่าคนหนึ่งผู้ อาจอ้างอวยทาน ฯ

๑๑๒
๏ ช้างม้าเมียมิ่งแก้ว เงินทอง
ตัวมิตายจักปอง ย่อมได้
ชีวิตสิ่งเดียวของ หายาก
ใช่ประทีปเทียนไต้ ดับแล้วจุดคืน ฯ

๑๑๓
๏ เมื่อน้อยเรียนเร่งรู้ วิชา
ครั้นใหญ่หาสินมา สู้เหย้า
เมื่อกลางแก่ศรัทธา ทำแต่ บุญนา
ครั้งแก่แรงวอกเว้า ห่อนได้เป็นการ ฯ

๑๑๔
๏ ความรู้ดูยิ่งล้ำ สินทรัพย์
คิดค่าควรเมืองนับ ยิ่งไซร้
เพราะเหตุจักอยู่กับ กายอาต มานา
โจรจักเบียนบ่ได้ เร่งรู้เรียนเอา ฯ

๑๑๕
๏ ความรู้เรียนเมื่อน้อย หนังสือ
ค่อยสมรรถจึงหัดปรือ โล่ดั้ง
รู้แล้วเลิศอย่าถือ ตนถ่อม เถิดพ่อ
บุญจักให้ใครรั้ง เริ่มรู้เป็นเอง ฯ

๑๑๖
๏ ความรู้ดูยิ่งล้ำ สินทรัพย์
คิดค่าควรเมืองนับ ยิ่งไซร้
เพราะเหตุจักอยู่กับ กายอาต- มานา
โจรจักเบียนบ่ได้ เร่งรู้เรียนเอา ฯ

๑๑๗
๏ จักเรียนความรู้พิ- นิจครู
จักกล่าวภรรยาดู พวกพ้อง
จักขึ้นสู่บนภู- เขาค่อย เดินนา
จักเสพกามาพร้อง โกรธไซร้รำพึง ฯ

๑๑๘
๏ ความเพียรเป็นอริแล้ว เป็นมิตร
คร้านเกียจเป็นเพื่อนสนิท ร่วมไร้
วิชาเฉกยาติด ขมขื่น
ประมาทเหมือนดับไต้ ชั่วร้ายฤๅเห็น ฯ

๑๑๙
๏ ผิรู้รู้จุ่งให้ เทียมคน
จักเงื่องเงื่องเป็นกล เงื่องแหง้
จักสุกอย่าสุกปน ดิบครึ่ง หนึ่งนา
ทางไล่ไว้หนีแก้ รอดแคล้วภัยพาล ฯ

๑๒๐
๏ ความรู้รู้ยิ่งได้ สินศักดิ์
เป็นที่ชนพำนัก นอบนิ้ว
อย่าเกียจเกลียดหน่ายรัก เรียนต่อ
รู้ชอบใช่หอบหิ้ว เหนื่อยแพ้แรงโรย ฯ

๑๒๑
๏ วิชาเป็นเพื่อนเลี้ยง ชีวิต
ยามอยู่เรือนเมียสนิท เพื่อนร้อน
ร่างกายสหายติด ตามทุกข์ ยากนา
ธรรมหากเป็นมิตรข้อน เมื่อม้วยอาสัญ ฯ

๑๒๒
๏ เป็นชายความรู้ยิ่ง เป็นทรัพย์
ทุกประเทศมีผู้นับ อ่านอ้าง
สตรีรูปงามสรรพ เป็นทรัพย์ ตนนา
แม้ตกยากไร้ร้าง ห่อนไร้สามี ฯ

๑๒๓
๏ เห็นใดจำให้แน่ นึกหมาย
ฟังใดอย่าฟังดาย สดับหมั้น
ชนม์ยืนอย่าพึงวาย ตรองตรึก ธรรมนา
สิ่งสดับทั้งนั้น ผิดเพี้ยนเป็นครู ฯ

๑๒๔
๏ เภตราเพียบล่มล้ม จมอรร- ณพนา
เกวียนหนักหักเพลาพลัน ง่ายไซร้
น้ำน่านซ่านตลิ่งคัน เพราะเปี่ยม เต็มแฮ
ผู้ประจาคมากให้ ทรัพย์ม้วยหมดตัว ฯ

๑๒๕
๏ พลอดนักมักพลาดพลั้ง พลันผิด
หาญนักมักชีวิต มอดม้วย
ตรองนักมักเสียจริต จักคลั่ง
รักนักมักหลงด้วย เล่ห์ลิ้นลมหญิง ฯ

๑๒๖
๏ คนใดโผงพูดโอ้ อึงดัง
อวดว่ากล้าอย่าฟัง สัปปลี้
หมาเห่าเล่าอย่าหวัง จักขบ ใครนา
สองเหล่าเขาหมู่นี้ ชาติเชื้อเดียวกัน ฯ

๑๒๗
๏ เสือใดแรงร้ายระ พะพง
อาจอุกบุกดงยง ขบคั้น
กินสัตว์สุระทะนง ศักดิ์สาธุ์
จักฉิบหายตายหมั้น เพราะร้ายแรงทะนง ฯ

๑๒๘
๏ ลับหลังบังเบียดล้าง ลบคุณ
ต่อพักตร์ยกยอบุญ ลึกซึ้ง
คบมิตรจิตปานปุน เป็นดุจ นี้นา
กลดั่งเสพน้ำผึ้ง คลุกเคล้ายาตาย ฯ

๑๒๙
๏ ผู้อื่นแม้ประโยชน์ไซร้ เสมอมิตร
มิตรประทุษฐ์ทำจิต เจ็บช้ำ
กายกับพยาธิชิด ใครชอบ เลยนา
รุกขชาติในป่าล้ำ เลิศให้เป็นยา ฯ

๑๓๐
๏ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแก่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาปเอง ฯ

๑๓๑
๏ ฟักแฟงแตงเต้าถั่ว งายล
หว่านสิ่งใดให้ผล สิ่งนั้น
ทำทานหว่านกุศล ผลเพิ่ม พูนนา
ทำบาปบาปซั้นซั้น ไล่เลี้ยวตามตน ฯ

๑๓๒
๏ ยายำประกอบด้วย มนตร์ดล
เคราะห์โศกโรคบนปน ปะไซร้
แม้นบุญช่วยอวยผล ผลเพิ่ม พูนนา
แม้บาปบุรพกรรมให้ บาปซ้ำเสียศูนย์ ฯ

๑๓๓
๏ มีสินฤๅเท่าผู้ มีคุณ
ข้าศึกฤๅปานปุน พยาธิไซร้
รักใดจักเพิ่มพุน รักอาต- มานา
แรงอื่นฤๅจักได้ เท่าด้วยแรงกรรม ฯ

๑๓๔
๏ อย่าโทษไทท้าวท่วย เทวา
อย่าโทษสถานภูผา ย่านกว้าง
อย่าโทษหมู่วงศา มิตรญาติ
โทษแต่กรรมเองสร้าง ส่งให้เป็นเอง ฯ

๑๓๕
๏ หมอแพทย์ทายว่าไข้ ลมคุม
โหรว่าเคราะห์แรงรุม โทษให้
แม่มดว่าผีกุม ทำโทษ
ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้ ก่อสร้างมาเอง ฯ

๑๓๖
๏ แม้มีตัวใหญ่เพี้ยง ภูผา
สูงเจ็ดลำตาลสา- มารถแท้
พงศ์พันธุ์เผ่าจันทรา สุริเยศ ก็ดี
ครั้นว่าไร้ทรัพย์แล้ ทั่วหล้าฤๅเห็น (นับหน้าฤๅมี) ฯ

๑๓๗
๏ คนผู้หินชาติช้า พงศ์พันธุ์
ครั้นมั่งมีสินสรรพ์ อวดอ้าง
แม้ผู้เผ่าสุริยจันทร์ สูงศักดิ์ ก็ดี
ครั้นทรัพย์แรมโรยร้าง หมู่ร้ายดูแคลน ฯ

๑๓๘
๏ แม้มีเนตรพ่างเพี้ยง พันจัก- ษุแฮ
มีวิชารู้หลัก เลิศล้น
ปัญญายิ่งยศศักดิ์ ฦาทั่ว ภพนา
รู้เท่าใดฤๅพ้น พ่ายแพ้ความตาย ฯ

๑๓๙
๏ มีฤทธิแรงมากแม้น ทศพล ก็ดี
หักพระเมรุทบทน ท่าวแท้
หยิบยกสี่สากล ชูกลอก ไว้นา
บัดย่อมจะพ่ายแพ้ แก่ท้าวมฤตยู ฯ

๑๔๐
๏ มีฤทธิ์รู้ยิ่งแม้น สัพพัญญู ก็ดี
เหินเห็จเตร็จไตรตรู ทั่วหล้า
ตำดินแหวกสินธู ทุกทวีป
รู้เท่ารู้ล้นฟ้า ห่อนพ้นความตาย ฯ

๑๔๑
๏ มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา
สามบ่วงใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร ฯ

๑๔๒
๏ บัญญัติลูกเต้าทรัพย์ สินสกล
ผู้โฉดคิดเวียนวน โศกเศร้า
บ่คิดว่าตัวตน ศูนย์เปล่า ไซร้ฤๅ
เมียลูกทรัพย์หากเข้า เกาะยื้อยามมรณ์ ฯ

๑๔๓
๏ ผู้ใดมีมั่งขั้ง เงินทอง
ลูกที่ดีให้ครอง สืบไว้
ลูกร้ายอย่าพึงปอง มอบทรัพย์ ให้นา
พึงวิจารณ์ประมวญให้ รอบรู้เป็นคุณ ฯ

๑๔๔
๏ มีลูกจากโทษแท้ สาธารณ์
เข้าบ่อนคบคนพาล ลักลี้
ส้องเสพสุราบาน การบาป
จากโทษแท้เท่านี้ ลาภล้ำบิดา ฯ

๑๔๕
๏ ลูกหนึ่งยอดยิ่งล้ำ ประยูร
ลูกหนึ่งเทียมตระกูล พ่อแท้
ลูกหนึ่งถ่อยสถูล กว่าชาติ
สามสิ่งนี้มีแล้ เที่ยงแท้ทุกคน ฯ

๑๔๖
๏ มีลูกลูกเล่าไซร้ หลายประการ
ลูกหนึ่งพึงล้างผลาญ ทรัพย์ม้วย
ลูกหนึ่งย่อมคบพาล พาผิด มานา
ลูกที่ดีนั้นด้วย ว่ารู้ฟังคำ ฯ

๑๔๗
๏ มีลูกดื้อลูกขี้- กาแก
มีทาสเทียรตำแย แส่ไส้
มีเรือรั่วขี่แพ ดีกว่า
มีแม่เรือนเปื้อนให้ เดือดร้อนเพรางาย ฯ

๑๔๘
๏ พระจันทร์โอภาสด้วย ราตรี
แสงสว่างแผ้วพันสี ส่องหล้า
กษัตริย์อ่าอินทรีย์ เรืองรุ่ง งามนา
บุตรที่ดีรุ่งหน้า พวกพ้องพงศ์พันธุ์ ฯ

๑๔๙
๏ ว่าเมียมีมากล้ำ หลายเมีย
เมียหนึ่งยกยอเยีย อย่างแหม้
เมียหนึ่งส่ายทรัพย์เสีย ศูนย์จาก ตนนา
เมียหนึ่งทำโทษแท้ เที่ยงให้ฉิบหาย ฯ

๑๕๐
๏ เมียมากจุ่งระมัดหมั้น ตัวตน
มันย่อมหามนตร์ดล คิดร้าย
รักนักมักหลงกล การเสน่ห์
ควรประหยัดอย่าหง้าย จักสิ้นเสียตัว ฯ

๑๕๑
๏ หญิงประทุษฐ์ทำเล่ห์ซ้อน เหนือชาย
คิดคดมุ่งมั่นหมาย ค่ำเช้า
คอยไข้ป่วยปางตาย อับลาภ
เอาพิษเพิ่มภักษ์เข้า เหตุนั้นควรถวิล ฯ

๑๕๒
๏ หญิงชั่วผัวหย่าร้าง สามคน
ช้างหลีกหนีสามหน จากเจ้า
ลูกศิษย์ผิดครูตน สามแห่ง
เขาหมู่นี้อย่าเข้า เสพส้องสมาคม ฯ

๑๕๓
๏ หญิงชั่วชู้ร้ายนัก ฤๅคลาด
เห็นบุรุษนักปราชญ์ เกลียดใกล้
แมลงวันย่อมเอาชาติ อสุภ เน่านา
บ่เสาะกลิ่นดอกไม้ ดุจผึ้งภุมรา ฯ

๑๕๔
๏ ปางก่อนเคยร่วมน้ำ ใจจิต
เคยยื่นทรัพย์ไปล่ปลิด ปลดให้
เคยเป็นมิ่งเมียสนิท หลายชาติ มานา
ในชาตินี้จึ่งได้ เสพส้องครองกัน ฯ

๑๕๕
๏ อากาศหฤโหดร้าย คือกา
สัตว์สี่ตีนคือลา โหดแท้
นักพรตมักโกรธา หฤโหด
ร้ายกว่าร้ายนั้นแล้ แต่ผู้นินทา ฯ

๑๕๖
๏ ถ่อลอยกลางแม่น้ำ ฤๅจะเอา
แม้มิบุบบางเบา มอดย้ำ
สตรีรูปลำเพา ผัวหย่า เล่าแฮ
ยักหล่มถ่มร้ายซ้ำ ไม่ร้ายแรงหึง ฯ

๑๕๗
๏ ด ังฤๅแม่น้ำและ หนทาง
ศาลสระโรงบึงบาง บ่อห้วย
เปรียบประดุจใจนาง ในโลก นี้นา
ฤๅอิ่มเวลาด้วย แห่งห้องสงสาร ฯ

๑๕๘
๏ แมลงวันท่วยเด็กน้อย นารี
พลูกัดชลคุณฑี ลูกไม้
น้ำไหลแลฤๅษี สิทธิเดช
เจ็ดสิ่งนี้อย่าได้ เกลียดอ้างเป็นเดน ฯ

๑๕๙
๏ ด ูข้าดูเมื่อใช้ การหนัก
ดูมิตรพงศารัก เมื่อไร้
ดูเมียเมื่อไข้จัก จวนชีพ
อาจจักรู้จิตไว้ ว่าร้ายฤาดี ฯ

๑๖๐
๏ ทาสาอย่าคิดไว้ วางใจ
ปกปิดกลภายใน อย่าหง้าย
เลศลับสิ่งใดใด เห็นเหตุ
มันแนะนำทำร้าย หมดสิ้นเสียตัว ฯ

๑๖๑
๏ ความลับอย่าให้ทาส จับที
ปกปิดมิดจงดี อย่าแผร้
แม้ให้ทราบเหตุมี หลายหลาก
นับว่าข้าทาสแท้ โทษร้ายเร็วถึง ฯ

๑๖๒
๏ หญิงทาสทางทาสใช้ โดยควร
อย่าและเล็มลามลวน วากเว้
รู้รสก่อเชิงชวน ใช้ยาก
ดังแมลงป่องจระเข้ ก่งแหง้งอนหาง ฯ

๑๖๓ (๔๐๑)
๏ ช้างสารหกศอกไซร้ เสียงา
งูเห่ากลายเป็นปลา อย่าต้อง
ข้าเก่าเกิดแต่ตา ตนปู่ ก็ดี
เมียรักนอนร่วมห้อง อย่าไว้วางใจ ฯ

๑๖๔
๏ หญิงชายบ้าบาปเถ้า ทุรชน
ใครอดออมข้าคน หมู่นี้
สิริห่อนจากตน คลาคลาด
มาอยู่ชูตีนกี้ เมื่อรื้อวางวาย ฯ

๑๖๕
๏ พ่อชั่วคนรู้ย่อม สาธารณ์
แม่ชั่วปากสามานย์ กล่าวกล้า
พ่อแม่โคตรสันดาน สุทธชาติ
คำอ่อนหวานบานหน้า ร่วมรู้อันดี ฯ

๑๖๖
๏ พ่อตายคือฉัตรกั้ง หายหัก
แม่ดับดุจรถจักร จากด้วย
ลูกตายบ่วายรัก แรงร่ำ
เมียมิ่งตายวายม้วย มืดคลุ้มแดนไตร ฯ

๑๖๗
๏ พิษร้อนในโลกนี้ มีสาม
พิษหอกดาบเพลิงลาม ลวกไหม้
ร้อนจริงก็มียาม หยุดหย่อน เย็นนา
ร้อนสิ่งเดียวร้อนไร้ ยิ่งร้อนฤๅวาย ฯ

ก – · ด ๑๖๘ · ว ๑๗๐
๏ หวานใดในโลกนี้ มีสาม สิ่งนา
หวานหนึ่งคือรสกาม อีกอ้อย
หวานอื่นหมื่นแสนทราม สารพัด หวานเอย
หวานไป่ปานรสถ้อย กล่าวเกลี้ยงคำหวาน ฯ

๑๖๙
๏ ธรรมดายาโรคร้อน รสขม
กินก็บำบัดลม และไข้
คนซื่อกล่าวใครชม ว่าชอบ หูแฮ
จริงไป่จริงนั้นไซร้ ผ่ายหน้านานเห็น ฯ

๑๗๐ (๓๘๕,๓๘๖)
๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา
ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผา หนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้น เรื่องร้ายหายสูญ ฯ

๑๗๑
๏ คนรักมีมากไซร้ แสดงผล
ชังมากนินทาตน โศกเศร้า
รักมากเมื่อกังวล วานช่วย กันนา
ชังมากมักรุมเร้า กล่าวร้ายรันทำ ฯ

๑๗๒
๏ ด อกบัวหนามณะก้าน คนฉิน
สระก็มีมลทิน ไป่พร้อง
น้ำล้างสิ่งของกิน พึงเกลียด ตินา
คลองอาบอากูลซ้อง สิ่งร้ายเป็นดี ฯ

๑๗๓
๏ ลิ้นพราหมณ์ตานกแร้ง จมูกมด
น้ำจิตพระยากำหนด ยากแท้
คำครูสั่งสอนบท ธรรเมศ
ห้าสิ่งนี้แหลมแล้ รวดรู้เร็วจริง ฯ

๑๗๔
๏ คนตื่นคืนหนึ่งช้า จริงเจียว
มล้าวิถีโยชน์เดียว ดุจร้อย
สงสารหมู่พาลเทียว ทางเนิ่น นานนา
เพราะบ่เห็นธรรมน้อย หนึ่งให้เป็นคุณ ฯ

๑๗๕
๏ เฝ้าท้าวเทียมเสพด้วย ยาพิษ
เข้าสู่สงครามชิด ใช่ช้า
ทรงครรภ์แลพาณิช เที่ยวท่อง ชเลนา
บัดชื่นบัดเศร้าหน้า กล่าวใกล้ความตาย ฯ

๑๗๖
๏ บรรทมยามหนึ่งไท้ ทรงฤทธิ์
หกทุ่มหมู่บัณฑิต ทั่วแท้
สามยามพวกพาณิช นรชาติ
นอนสี่ยามนั้นแล เที่ยงแท้เดียรฉาน ฯ

๑๗๗
๏ ราชาธิราชน้อม ในสัตย์
อำมาตย์เป็นบรรทัด ถ่องแท้
ฝูงราษฎร์อยู่ศรีสวัสดิ์ ทุกเมื่อ
เมืองดั่งนี้เลิศแล้ ไพร่ฟ้าเปรมปรีดิ์ ฯ

ก – · ด ๑๗๘
๏ ข้าท่านคร้านหลีกเจ้า จากเจียร
ชีบ่เล่าเรียนเขียน อ่านไซร้
ชาวนาละความเพียร ไถถาก
สามสิ่งนี้โหดให้ โทษแท้คนฉิน ฯ

๑๗๙
๏ นายเรือนใหญ่อยู่เหย้า เรือนตน
นายช่างเป็นใหญ่คน ลูกบ้าน
ท้าวพระยาใหญ่กว่าชน ในเขต แดนนา
นักปราชญ์ใหญ่แปดด้าน ทั่วด้าวทิศา ฯ

ก – · ด ๑๘๐
๏ สตรีดีรูปได้ เป็นทรัพย์
ชายฉลาดความรู้สรรพ ทรัพย์ได้
พราหมณ์ทรงเวทยานับ ว่าทรัพย์ พราหมณ์นา
ภิกษุเกิดลาภไซร้ เพื่อรู้เทศน์ธรรม ฯ

๑๘๑
๏ เรียนสรรพสบศาสตร์สิ้น เพลงศิลป์
ประสิทธิ์เสร็จทั้งแดนดิน ย่อมได้
ตามปัญญายิ่งโดยจินต์ คดีโลก
สอนอัชฌาสัยไซร้ ห่อนได้มีครู ฯ

๑๘๒
๏ เรียนรู้ครูบอกได้ เสร็จสรรพ์
สบศาสตร์ศิลป์ทุกอัน ย่อมรู้
อัชฌาสัยแห่งสามัญ บุญแต่ง มาแฮ
ครูทักนักสิทธิผู้ เลิศได้บอกเลย ฯ

๑๘๓
๏ แม้นบุญยังอย่าได้ ขวนขวาย
อย่าตื่นตีตนตาย ก่อนไข้
ลูกพร้าวอยู่ถึงปลาย สูงสุด ยอดนา
ใครพร่ำน้ำตักให้ หากรู้เต็มเอง ฯ

๑๘๔
๏ นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว
รังแต่งจุเมียผัว อยู่ได้
มักใหญ่ย่อมคนหวัว ไพเพศ
ทำแต่พอตัวไซร้ อย่าให้คนหยัน ฯ

๑๘๕
๏ เห็นท่านมีอย่าเคลิ้ม ใจตาม
เรายากหากใจงาม อย่าคร้าน
อุตส่าห์พยายาม การกิจ
เอาเยี่ยงอย่างเพื่อนบ้าน อย่าท้อทำกิน ฯ

๑๘๖
๏ เริ่มการตรองตรึงไว้ ในใจ
การจะลุจึงไข ข่าวแจ้ง
เดื่อดอกออกห่อนใคร เห็นดอก
ผลผลิตติดแล้วแผร้ง แพร่ให้คนเห็น ฯ

๑๘๗
๏ การใดตรองผิดไซร้ เสียถนัด
เอาสิ่งนั้นตรองขัด คิดแก้
หนามยอกสิ่วแคะคัด ฤๅออก
หนามต่อหนามนั้นแล้ เขี่ยได้คืนถอน ฯ

๑๘๘
๏ ผมผิดคิดสิบห้า วันวาร
ทำไร่ผิดเทศกาล ขวบเช้า
เลี้ยงเมียผิดรำคาญ คิดหย่า
ทำผิดไว้คิดเศร้า ตราบเท้าวันตาย ฯ

๑๘๙
๏ เดินทางต่างเทศให้ พิจารณ์
อาสน์นั่งนอนอาหาร อีกน้ำ
อดนอนอดบันดาล ความโกรธ
ห้าสิ่งนี้คุณล้ำ เลิศล้วนควรถวิล ฯ

๑๙๐
๏ อาศัยเรือนทาสท่านให้ วิจารณ์
เห็นท่านทำการงาน ช่วยพร้อง
แม้มีกิจโดยสาร นาเวศ
พายถ่อช่วยค้ำจ้อง จรดให้จนถึง ฯ

๑๙๑
๏ เขาบ่เรียกสักหน่อยขึ้น เคหา
ท่านบ่ถามเจรจา อวดรู้
ยกตนอหังการ์ เกินเพื่อน
สามลักษณะนี้ผู้ เผ่าร้ายฤๅดี ฯ

๑๙๒
๏ เป็นคนคลาดเหย้าอย่า เปล่ากาย
เงินสลึงติดชาย ขอดไว้
เคหาอย่าศูนย์วาย เข้าเปลือก มีนา
เฉินฉุกขุกจักได้ ผ่อนเลี้ยงอาตมา ฯ

๑๙๓
๏ สินใดบ่ชอบได้ มาเรือน
อยู่แค่เจ็ดเดือนเตือน ค่ำเช้า
ครั้นนานย่อมเลือนเปือน ปนอยู่
มักชักของเก่าเหย้า มอดม้วยหมดโครง ฯ

๑๙๔
๏ ตมเกิดแต่น้ำแล่น เป็นกระสาย
น้ำก็ล้างเลนหาย ซากไซร้
บาปเกิดใช่แต่กาย เพราะจิต ก่อนนา
อันจักล้างบาปได้ เพราะน้ำใจเอง ฯ

๑๙๕
๏ อายครูไซร้ถ่อยรู้ วิชา
อายแก่ราชาคลา ยศแท้
อายแก่ภรรยาหา บุตรแต่ ไหนมา
อายกับทำบุญแล้ สุขนั้นฤามี ฯ

๑๙๖
๏ หน้าแช่มชื่นช้อยเช่น บัวบาน
ถ้อยฉ่ำคำเฉื่อยหวาน ซาบไส้
หัวใจดั่งดาบผลาญ ชนม์ชีพ
เขาเหล่านี้กล่าวไว้ ว่าผู้ทรชน ฯ

๑๙๗
๏ หลีกเกวียนให้หลีกห้า ศอกหมาย
ม้าหลีกสิบศอกกราย อย่าใกล้
ช้างยี่สิบศอกคลาย คลาคลาด
เห็นทุรชนหลีกให้ ห่างพ้นลับตา ฯ

๑๙๘
๏ พาชีขี่คล่องคล้อย ควรคลา
โคคู่ควรไถนา ชอบใช้
บนชานชาติวิฬาร์ ควรอยู่
สุนัขเนาแต่ใต้ ต่ำเหย้าเรือนควร ฯ

๑๙๙
๏ กระบือหนึ่งห้ามอย่า ควรครอง
เมียมิ่งอย่ามีสอง สี่ได้
โคสามอย่าควรปอง เป็นเหตุ
เรือนอยู่สี่ห้องให้ เดือดร้อนรำคาญ ฯ

๒๐๐
๏ มีเรือค้าขี่ห้า ลำนอ ห้ามแฮ
สุนัขหกอย่าพึงพอ จิตเลี้ยง
แมวเจ็ดเร่งเร็วขอ มาใส่ อีกนา
ช้างแปดม้าเก้าเหยี้ยง อย่างห้ามเพรงมา ฯ

๒๐๑
๏ มีเงินให้ท่านกู้ ไปนา
ศิลปศาสตร์ฤๅศึกษา เล่าไว้
มีเมียอยู่เคหา ไกลผ่าน
สามลักษณะนี้ใกล้ แกล่แม้นไป่มี ฯ

๒๐๒
๏ สบพบคนเคลิ้มอย่า เจรจา
ลาภอยู่ไกลอย่าหา ใคร่ได้
มีลูกโฉดปัญญา ยากจิต ตนนา
เมียมิตรร้ายอย่าใกล้ อยู่เพี้ยงขันที ฯ

๒๐๓
๏ ไร้สิ่งสินอับแล้ว ปัญญา
อีกญาติวงศ์พงศา บ่ใกล้
คนรักย่อมโรยรา รสรัก กันแฮ
พบแทบทางทำใบ้ เบี่ยงหน้าเมินหนี ฯ

๒๐๔
๏ อย่าเรียนเพียรคิดค้น ขุดของ
อย่าตริตรึกนึกปอง บ่อนเหล้น
อย่าเรียนเวทมนตร์ลอง สาวสวาท
แปรธาตุหนึ่งพึงเว้น สี่นี้เบียนตน ฯ

๒๐๕
๏ รักมิตรสุภาพไซร้ สมรมิตร
รักเผ่าพงศาสนิท ซื่อไซร้
รักหญิงอย่าพึงคิด สินอ่อย เอานา
รักสัตย์ศีลจักได้ สุขแท้ทางสวรรค์ ฯ

๒๐๖
๏ รักทรัพย์อย่ายิ่งด้วย วิชา
สว่างอื่นเท่าสุริยา ห่อนได้
ไฟใดยิ่งราคา เพลิงราค ฤๅพ่อ
รักอื่นหมื่นแสนไซร้ อย่าสู้รักธรรม ฯ

๒๐๗
๏ มีมิตรจงรอบรู้ รักสนิท
ดุจอุทรเดียวชิด ชอบหน้า
ความขำเงื่อนงำปิด ปัดเป่า
ท่านว่ามิตรนี้อ้า เอกล้ำเหลือดี ฯ

๒๐๘
๏ เมียท่านพิศพ่างเพี้ยง มารดา
ทรัพย์ท่านคืออิฐผา กระเบื้อง
รักสัตว์อื่นอาตมา เทียมเท่า กันแฮ
ตรองดั่งนี้จักเปลื้อง ปลดพ้นสงสาร ฯ

๒๐๙
๏ คนใดใจส่างสิ้น ความอาย
ความสัตย์เสื่อมกระจาย จากแท้
มานะเจ็บอายหาย หมดเนตร
สิ่งสี่มีพร้อมแล้ เล่ห์เพี้ยงเดียรฉาน ฯ

๒๑๐
๏ คนใดมีสัตย์ทั้ง มานะ
ความเจ็บยังไป่ละ หนึ่งบ้าง
ความอายบ่สละ จากจิต
แม้ตกต่ำไร้ร้าง ห่อนผู้ดูแคลน ฯ

๒๑๑
๏ คนใดฟังอรรถแล้ว บ่ขวาย- ขวนนา
บ่ตริตรึกนึกหมาย มั่นไว้
บ่ถามไต่อุบาย เติมต่อ
ปราชญ์ว่าผู้นั้นไซร้ ใช่เชื้อเมธา ฯ

๒๑๒
๏ คนใดทรงสัตย์สร้าง ศีลา
ไป่เคียดขึ้งหึงสา สัตว์ไซร้
น้ำจิตคิดกรุณา เนืองนิจ
คนดั่งนี้จัดได้ ชื่อเชื้อปรีชา ฯ

๒๑๓
๏ คนใดละพ่อทั้ง มารดา
อันทุพพลชรา ภาพแล้ว
ขับไล่ไม่มีปรา- นีเนตร
คนดั่งนี้ฤาแคล้ว คลาดพ้นไภยัน ฯ

๒๑๔
๏ คนใดเอมโอชด้วย เจรจา
เห็นแก่เฒ่าพฤฒา ถ่อมไหว้
สรรเสริญทั่วโลกา มนุษย์ นี้นา
ปรโลกพู้นจักได้ สู่ฟ้าเมืองแมน ฯ

๒๑๕
๏ คนใดด่าโคตรเค้า ตระกูล
ถือว่าตนทรัพย์มูน มั่งขั้ง
ดูหมิ่นหมู่ประยูร พงศ์เผ่า
เป็นที่ติเตียนทั้ง ทั่วท้องโลกา ฯ

๒๑๖
๏ ชายใดเร่คบค้า นารี
เสพสุรายินดี บ่อนเหล้น
นกไก่สกาตี มือต่อ พนันนา
คนดั่งนี้ฤๅเว้น จากเบื้องฉิบหาย ฯ

๒๑๗
๏ คนใดถ่อยจากรู้ วิชา
หญิงรูปร้ายกิริยา โฉดด้วย
บรรพชิตบ่รักษา ศีลขาด
สามสิ่งนี้ชื่อม้วย ชีพสิ้นสุดสกล ฯ

๒๑๘
๏ คนร้ายมักชอบร้าย ราคี
สอนสั่งสิ่งความดี บ่ได้
ดุจเกลือทอดนที ศูนย์เปล่า
เสพที่ชั่วเชือนไซร้ ทราบแจ้งใจมัน ฯ

๒๑๙
๏ สอนคนหีนชาติช้า โฉดเฉา
ฝนตกเจิมจอมเขา หลั่งหลุ้ม
คนดีสั่งสอนเอา โอวาท
กลกะมะออมน้ำอุ้ม อิ่มได้โดยใจ ฯ

๒๒๐
๏ เผ่าพาลพวกไป่รู้ คุณคน
มันยอมหาเหตุผล ขุดไค้
สมบัติสี่สากล โกยกอบ ให้แฮ
ฤๅอาจยังมันให้ เกิดแย้มยินดี ฯ

๒๒๑
๏ ได้สินทรัพย์เพื่อค้า ขนหงส์
เลี้ยงชีพช้ายืนยง อยู่แล้ว
ภายหลังโลภไป่ตรง ใจต่อ
ถอนทั่วตัวหงส์แคล้ว คลาดสิ้นเสื่อมทอง ฯ

๒๒๒
๏ แม่น้ำคุ้งคดเคี้ยว ควรจร
เหล็กคดทำเคียวรอน ไร่เข้า
ไม้กระทดกระทำทอน ทุกที่ กงนา
คนคดดั่งคูถเหน้า บ่ต้องการงาน ฯ

๒๒๓
๏ ปราชญ์ใดเรืองรู้ยิ่ง วิทยา
กล่าวมธุรสธรรมา ห่อนพลั้ง
น้ำจิตอสัตยา ยลยาก
คือดั่งดวงแก้วตั้ง แต่งไว้เรือนโจร ฯ

๒๒๔
๏ ไป่ถามปราชญ์บ่พร้อง พาที
เปรียบดั่งเภรีตี จึ่งครื้น
คนพาลพวกอวดดี จักกล่าว
ถามบ่ถามมันฟื้น เฟื่องถ้อยเกินถาม ฯ

๒๒๕
๏ ร่วมรักนักปราชญ์เชื้อ ชาตรี
เราผิดชอบชั่วดี ท่านแจ้ง
เอาเยี่ยงอย่างอย่ามี จิตโกรธ
ปรากฏกลท่านแกล้ง แนะให้ขุมทอง ฯ

๒๒๖
๏ น้ำบ่มีจิตรู้ ไหลจร
ไม้คดเขาทำศร ซื้อได้
บัณฑิตทราบสุนทร โอวาท
สอนสั่งอาตมะให้ อ่อนด้วยใจเอง ฯ

๒๒๗
๏ อย่าคบคนหมู่ร้าย ทรชน
คบแต่บัณฑิตคน ปราชญ์แปล้
วันคืนรวดเร็วดล บุญเร่ง ทำนา
เห็นอนิจนั้นแล้ ล่วงพ้นสงสาร ฯ

๒๒๘
๏ พึงอวยโอวาทไว้ ในตน ก่อนนา
จึงสั่งสอนสาธุชน ทั่วหล้า
แต่แรกเร่งผจญ จิตอาต- มาแฮ
สัตว์อื่นหมื่นแสนอ้า อาจแท้ทรมาน ฯ

๒๒๙
๏ ช่างหม้อตีหม้อใช่ ตีฉาน แตกนา
ดีแต่งเอางามงาน ชอบใช้
ดุจศิษย์กับอาจารย์ ตีสั่ง สอนแฮ
ตีใช่ตีจักให้ สู่ห้องอบาย ฯ

๒๓๐
๏ คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
คุณบิดรดุจอา- กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร ฯ

๒๓๑
๏ เมื่อร้อนน้ำท่านให้ เย็นใจ
เมื่อเยือกเย็นได้ไฟ อุ่นเนื้อ
เมื่อทุกข์ท่านแก้ไข ชูช่วย
เมื่อยากจนท่านเกื้อ ก่อให้ทุนทำ ฯ

๒๓๒
๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้ สุขสบาย
เย็นญาติทุกข์สำราย กว่าไม้
เย็นครูยิ่งพันฉาย กษัตริย์ยิ่ง ครูนา
เย็นร่มพระเจ้าให้ ร่มฟ้าดินบน ฯ

๒๓๓
๏ ทองกวาวหงอนไก่เส้ง สดสี
งามแต่กลิ่นฤๅมี หนึ่งน้อย
นักเรียนบอกบาลี ลบหลู่ ธรรมนา
งามผาดผลเท่าก้อย- กอบนั้นฤๅมี ฯ

๒๓๔
๏ หอมกลิ่นดอกไม้ที่ นับถือ
หอมแต่ตามลมฤๅ กลับย้อน
หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ ศีลสัตย์ นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน ทั่วใกล้ไกลถึง ฯ

๒๓๕
๏ ทำบุญบุญแต่งให้ เห็นผล
คือดั่งเงาตามตน ติดแท้
ผู้ทำสิ่งอกุศล กรรมติด ตามนา
ดุจจักรเกวียนเวียนแล้ ไล่ต้อนตีนโต ฯ

๒๓๖
๏ ใจบุญบุญนักรู้ เร็วทำ
ใจบาปทำบาปกรรม ง่ายแท้
ใจบุญก่อบาปลำ- บากยาก จิตนา
ใจบาปทำบุญแล้ ยิ่งนั้นแสนทวี ฯ

๒๓๗
๏ ใจเบาใจห้ามยาก ใจฉันท์
ใจเกิดเวราฉกรรจ์ กาจแท้
ใจใดคิดผ่อนผัน ชอบใส่ ตัวนา
ใจดั่งนี้ยิ่งแล้ เลิศให้สุขเกษม ฯ

๒๓๘
๏ ศาสตร์ใดจักล้ำเท่า ธรรมาน
ทรัพย์สิ่งใดไกรทาน ที่ให้
รักใดจักปูนปาน รักสัจ ศีลนา
สุขสิ่งใดจักได้ สุขเพี้ยงนฤพาน ฯ

๒๓๙
๏ พ้นเย็นพ้นเดือดร้อน โรคา
พ้นจากทุกขเวทนา โศกเศร้า
พ้นตายแก่เกิดมา ในโลก
สุขดั่งนี้พระเจ้า ว่าเนื้อนฤพาน ฯ

๒๔๐
๏ มูลบาปคือโลภล้น แสวงหา
สรรพรสเป็นมูลพา พยาธิไซร้
มูลทุกข์เกิดเพราะรา- คะเกลศ
มูลนิพพานนั้นได้ เพราะด้วยสัจจา ฯ

๒๔๑
๏ น่านน้ำฤๅห่อนกล้ำ กลืนชล เองแฮ
พฤกษชาติห่อนหวงผล เสพส้อง
จอมเมฆไป่หวงฝน ภักษ์เสพ เสียนา
ปราชญ์ห่อนหวงทรัพย์ป้อง เปิดให้เป็นทาน ฯ

๒๔๒
๏ อุบลอุบัติเบื้อง เปือกตม
แก้วเกิดแต่ผานิยม ชอบใช้
ช้างเผือกเกิดในพนม ไพรพฤกษ์
ปราชญ์ประยูรยากไร้ ทั่วหน้านับถือ ฯ

๒๔๓
๏ รู้ดีดุรงค์ด้วย รณแรง รวดแฮ
รู้ว่าโคงานแขง เมื่อใช้
โคนมเกษียรแสดง ดีเมื่อ รูดนา
รู้ว่าปราชญ์เปรื่องไซร้ เมื่อถ้อยคำแถลง ฯ

๒๔๔ (๒๔๕)
๏ นกแสกสกุณโทษเค้า กู่กา
ทิ้งทูดอูฐอีกลา ล่อร้อง
เสียงประทุษฐภาษา หีนโหด
ฟังบ่เพราะหูพร้อง ดุจถ้อยทรชน ฯ

๒๔๕ (๒๔๔)
๏ แขกเต้าดุเหว่าแก้ว โกญจา
หงส์วิหคมยุรา ร่ำร้อง
เฉกนรชาติวาจา เอมโอช
ฟังเสนาะเพราะพร้อง มฤธุถ้อยวาที ฯ

๒๔๖
๏ สกุณกากระเหว่าไซร้ เหมือนกัน
ไข่ต่อไข่สำคัญ เท่าแท้
ออกลูกจึ่งแปรผัน ตามเพศ
กากระเหว่านั้นแล้ ทั่วผู้เล็งเห็น ฯ

๒๔๗
๏ นกแร้งแรงร่อนได้ พอเพียง ปีกนา
บินบ่สูงแข่งเคียง ครุฑได้
แม่น้ำนทีเรียง รายทั่ว ทวีปแฮ
ลึกเท่าลึกนั้นไซร้ สุดสู้สาคร ฯ

๒๔๘
๏ ควรแสวงสี่สิ่งแท้ มณีรัตน์
พึงจักจำเริญสวัสดิ์ แว่นแก้ว
ความรู้มิตรเมียสัจ เข้าเปลือก มีนา
อย่าเสียใจได้แล้ว เท่านี้ฤๅแคลน ฯ

๒๔๙
๏ วิชาควรรักรู้ ฤๅขาด
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์ ว่าน้อย
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ มีมั่ง
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย ชั่วลื้อหลานเหลน ฯ

๒๕๐
๏ พายเถิดพ่ออย่ารั้ง รอพาย
จวนตะวันจักสาย ส่องฟ้า
ของสดสิ่งควรขาย จักขาด ค่าแฮ
ตรหลาดเลิกแล้วอ้า บ่นอื้นเอาใคร ฯ

๒๕๑
๏ เรียนศิลป์แสวงทรัพย์ด้อม เดินไศล
สามสิ่งอย่าเร็วไว ชอบช้า
เสพกามหนึ่งคือใจ มักโกรธ
สองประการนี้ถ้า ผ่อนน้อยเป็นคุณ ฯ

๒๕๒
๏ มักได้ให้คิดได้ สองสถาน
ได้ชั่วนี้ได้กาล ชั่วหน้า
ให้ได้สะดวกดาล โดยชอบ
ได้ดั่งนี้เอกอ้า อิ่มน้ำใจตน ฯ

๒๕๓
๏ ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้ ปูนปัน
ภาคหนึ่งพึงเกียดกัน เก็บไว้
สองส่วนเบ็ดเสร็จสรรพ์ การกิจ ใช้นา
ยังอีกส่วนควรให้ จ่ายเลี้ยงตัวตน ฯ

๒๕๔
๏ เยาวรูปเหน้าหนุ่มเนื้อ ในวงศ์ ตระกูลแฮ
แม้นราศวิทยาทรง เสื่อมเศร้า
ทองกวาวดอกดาษดง แดงป่า
เสียกลิ่นรินรสเร้า ดั่งนี้ใครชม ฯ

๒๕๕ (๔๓๔)
๏ มักคร้านฤๅรอบรู้ วิทยา
ศิลปศาสตร์เสื่อมสินหา ไป่ได้
ไร้ทรัพย์อับผู้มา เป็นเพื่อน
เว้นจากมิตรนั้นไซร้ สุขร้างแรมโรย ฯ

๒๕๖
๏ คุ้นเคยคนคบค้า มานาน
คดแต่เข้าแกงจาน ส่งให้
มีรสรสใดปาน เพราะรัก นั้นนา
ขมขื่นกลืนคล่องได้ ยิ่งชิ้นปลาดี ฯ

๒๕๗
๏ คราวดีมีเพื่อนพ้อง พรูตาม
ยืนนั่งไต่ตอมถาม ถี่ถ้อย
คราวทุกข์ฉุกเฉินความ มีโทษ
เพื่อนเล่นเจรจาน้อย หนึ่งนั้นฤๅมี ฯ

๒๕๘
๏ คนใดเดิมแม้นว่า เวรกับ ตนนา
หลายคาบแค้นเคี่ยวขับ คิดร้าย
ภายหลังมาตรมันกลับ เป็นมิตร ก็ดี
จงประหยัดอย่าหง้าย ค่ำเช้าคอยเชิง ฯ

๒๕๙
๏ น้ำเหม็นมล้างสิ่งเหน้า ไฉนหยุด
มล้างอุทกบริสุทธิ์ เสื่อมร้าย
คนเวรต่อเวรประทุษฐ์ ทวีโทษ
เอาอเวรระงับหง้าย อาจสิ้นศูนย์เวร ฯ

๒๖๐
๏ ซ่อนเงื่อนงำน้ำขุน ขังใน
ภายนอกทำแจ่มใส สดหน้า
ดุจหินบ่เห็นไฟ ฝังอยู่
ต่อประหารจึ่งจ้า จับไหม้เป็นจุณ ฯ

๒๖๑
๏ จักทำโทษแก่ผู้ ผิดฉกรรจ์
ใจจุ่งเมตตามัน มากไว้
ให้คิดจิตสำคัญ เขาโหด
ความคิดน้อยจึ่งได้ อยู่เงื้อมมือตน ฯ

๒๖๒
๏ ตัดต้นก่นรากแล้ว ปลูกแปลง
หนามหั่นห่อนไว้แขนง หน่อเนื้อ
เพลิงพิษนิดหนึ่งแรง เรืองโรจน์
ดับแต่ดุ้นไว้เชื้อ นิ่งช้าเพลิงโพลง ฯ

๒๖๓
๏ ขว้างพิษบ่คว่างพ้น พันแขน ตนนา
ไปสบพบรังแตน แหย่เย้า
ร่ายมนตร์ปลุกเสือแสน องอาจ
ไม้ซั่นรันสิ่งเหน้า แน่ต้องตนเอง ฯ

๒๖๔
๏ ลูกเมียเหมือนผ้าโอ่ อัตรา
ขาดฉีกชั่วแล้วหา ใหม่ได้
พี่น้องเฉกเช่นขา แขนติด ตนแฮ
ขาดประจาคจักให้ ต่อเข้าฤๅคืน ฯ

๒๖๕
๏ มีบุตรบ่ได้ดั่ง ตีนมือ
คุณแห่งไม้เท้าถือ เลิศแท้
ทางเมื้อเผื่อพบคือ สิงห์สัตว์ ก็ดี
ไม้ประเสริฐเลิศแล้ อาจคุ้มกันภัย ฯ

๒๖๖
๏ ธรรมดาผลม่วงไม้ ตระการ
เมื่ออ่อนรสเผือดพาน ยากเคี้ยว
ครั้นสุกรสสวายหวาน เอมโอช
หมากม่วงนั้นฤๅเปรี้ยว เปรียบด้วยหมากขาม ฯ

๒๖๗
๏ บุรุษสุดไร้รัก เมียงาม ชอบฤๅ
ไร้เพื่อนไปไกลคาม เขตบ้าน
มือเปล่าสู่สงคราม ยงยุทธ ไฉนนา
รู้ไป่ทันแก่ก้าน กล่าวถ้อยกลางสนาม ฯ

๒๖๘
๏ โยธาทิ้งศาสตร์สู้ สงคราม ชอบฤๅ
ปราชญ์มละคัมภีร์ความ อย่าพร้อง
เดินหนเพื่อนบ่ตาม อย่าไต่ ทางแฮ
พาณิชเสียพวกพ้อง ต่างด้าวเดินไฉน ฯ

๒๖๙
๏ รักเจ้าจงรักให้ เป็นยุติ- ธรรมนา
ท่านเคียดอย่าควรประทุษฐ์ เท่าเผ้า
จงมีภักดีดุจ โสนัข นั้นนา
มันบ่จืดจากเจ้า จิตนั้นคงตรง ฯ

๒๗๐
๏ อาสาเจ้าต่อต้าน ตัวตาย
ขันรับอาสานาย หย่อนนั้น
อาสาศึกแม่ยาย อย่าย่อ ท้อนา
สามสิ่งแท้ถือหมั้น ชั่วฟ้าดินชม ฯ

๒๗๑
๏ อาสาศึกสู้ไป่ เสร็จงาน
คนจักตายเอาอาน ปิดไว้
จึงนับว่าเป็นทหาร หายาก
ฉลองพระคุณเจ้าให้ ท่านเลี้ยงบำรุง ฯ

๒๗๒
๏ เจ้านายใช้ชุบเลี้ยง คนขาม
สินทรัพย์เมียมิ่งงาม ง่ายได้
บ่าวไพร่พรั่งพรูตาม ไหลหลั่ง มานา
สมบัติบุญส่งให้ แปลกหน้าตาเดิม ฯ

๒๗๓
๏ หมั่นลอดสอดสืบถ้อย เวรี
ไป่ชอบท่าทำดี นิ่งไว้
คาบใดชอบเชิงที หาญหัก
ต่อยดั่งต่อยหม้อให้ แตกด้วยศิลา ฯ

๒๗๔
๏ ยศศักดิ์จักเกิดด้วย บุญทำ
ภัยเกิดเพื่อผลกรรม ก่อนให้
ติเตียนแลจองจำ กรรมก่อน เองนา
ใครจักเว้นแวะได้ ทั่วท้องโลกา ฯ

๒๗๕
๏ กฤตยามนตร์เคราะห์ให้ เห็นผล
ทำสิ่งใดลุดล สิ่งนั้น
ครั้นบุญแห่งบุคคล จักถ่อย แล้วนา
มนตร์กฤตยานั้นซั้น เสื่อมสิ้นทุกวัน ฯ

๒๗๖
๏ เชื้อไพร่บุญปลูกขึ้น เป็นนาย
พาลบุตรรู้มลักหลาย เลิศผู้
โหดไร้พร่ำขวนขวาย ทรัพย์มั่ง มีแฮ
สามเหล่านี้พึงรู้ อย่าได้ดูเบา ฯ

๒๗๗
๏ ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมญ่าเหี่ยวแร้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน ฯ

๒๗๘
๏ ทรัพย์มากหากถ่อยแท้ วาจา
ชนไป่ชอบหูตา ติดต้อง
น้อยทรัพย์อับยศถา ทรามรูป
แต่เพราะถ้อยคำพร้อง เพริศสิ้นทั้งมวล ฯ

๒๗๙
๏ มีสินทรัพย์น้อยหลั่ง ไหลริน
คือบ่อน้อยนรกิน อาบได้
ทรัพย์มากหมู่ทมิฬ มีมั่ง ก็ดี
คือสมุทรฤๅให้ ท่วยอ้างอาศัย ฯ

๒๘๐
๏ แม้โฉมเฉิดเฉกให้ เทพา
อีกอิสริยยศถา กอปรด้วย
บุรุษถ่อยทุษฐวา- จาพากย์
นับว่าผู้นั้นม้วย หมดสิ้นสิ่งงาม ฯ

๒๘๑
๏ แม้ตนตัวเล็กเพี้ยง ผุยผง
ไกลนับโยชน์ดอนดง อยู่นั้น
คั่งคับทรัพย์สินพงศ์ พันธุ์ถ่อย ก็ดี
สุดขอบฟ้าเขียวขั้น ทั่วแท้เล็งเห็น ฯ

๒๘๒
๏ แม้ตนโตเติบเพี้ยง เขาเขิน
สูงเจ็ดลำตาลเกิน กึ่งฟ้า
ไร้ทรัพย์ดับเผอิญ แลเล็ก ลงแฮ
ดั่งปลวกเตี้ยต่ำช้า ชวดผู้เล็งเห็น ฯ

๒๘๓
๏ ตนน้อยแลใฝ่ให้ เกินศักดิ์
ว่าตระกูลใหญ่นัก แทบไท้
คือแมลงเม่ามันมัก บินวู่- วามนา
โถมถาบฉาบเพลิงไหม้ มอดม้วยตัวเอง ฯ

๒๘๔
๏ · ด ักขลาแล้วไป่ขึ้น คอยขลา
เบ็ดบ่เกี่ยวเหยื่อรา ล่อไว้
ไปสอดสบเสือมา หมายก่ง ได้ฤๅ
ปลาต่อผุดโพล่งใกล้ เกี่ยวทิ้งฤๅทัน ฯ

๒๘๕
๏ อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม
สูงสุดมือมักตรอม อกไข้
เด็ดแต่ดอกพยอม ยามยาก ชมนา
สูงก็สอยด้วยไม้ อาจเอื้อมเอาถึง ฯ

๒๘๖
๏ เจียมใดจักเท่าด้วย เจียมตัว
รู้เท่าท่านทำกลัว ซ่อนไว้
อย่ามึนมืดเมามัว โมหะ
สูงนักมักเหมือนไม้ หักด้วยลมแรง ฯ

๒๘๗
๏ ถึงจนทนสู้กัด กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง จับเนื้อกินเอง ฯ

๒๘๘
๏ ไกรสรแสบท้องแทบ เสียชี วิตแฮ
บ่ภักษ์ผลไม้มี ป่ากว้าง
ไกรสรซูบอินทรีย์ สมเพช ก็ดี
บ่ภักษ์รสเนื้อช้าง ดั่งนี้ธรรมดา ฯ

๒๘๙
๏ ใบบัวฝนตกน้ำ ขาดขัง
ลูกข่างวางบนหลัง มิ่งม้า
เสาหลักปักอยู่ยัง กองแกลบ นาพ่อ
คนบ่แม่นถ้อยอ้า พูดแล้วโอนเอน ฯ

๒๙๐
๏ กล่าวภัยในน้ำแก่ มังกร
แสดงพิลึกดงดอน อวดช้าง
เอาพร้าวใส่เรือคอน ขายพวก สวนแฮ
ยกศัพท์แปลอรรถอ้าง อวดผู้เพียรเรียน ฯ

๒๙๑
๏ เอาน้ำขู่จระเข้ ขันเหลือ
เอาป่าไปข่มเสือ ขู่คู้
เอาหมากแล่นลงเรือ ไปจ่าย สวนแฮ
เอากาพย์โคลงกระทู้ เที่ยวอ้างอวดกระวี ฯ

๒๙๒
๏ กล่าวจริงบ่พริ้งเพราะ โสดสดับ
เอาเท็จปนคนนับ เนตรหน้า
ไม้เหลี่ยมเยี่ยงอย่างกลับ ตัวยาก
กลมกล่อมสิบอ้อมอ้า อาจกลิ้งพลันทัน ฯ

๒๙๓
๏ ท่ามกลางกล่าวถ้อยแต่ พอควร
เห็นท่านสรวลอย่าสรวล ตอบเต้า
ใช้คำแต่น้ำนวล นฤโทษ
เห็นท่านเศร้าทำเศร้า โศกหน้าตาตาม ฯ

๒๙๔
๏ เล่าเดื่อมีดอกให้ พึงฟัง
เล่าว่ากาขาวยัง เชื่อได้
ริ้นเทียมเท่าเขาหวัง ฟังเถิด นะพ่อ
เล่าว่าหญิงจริงไซร้ อย่าได้ควรฟัง ฯ

๒๙๕
๏ อย่าขุดขอดท่านด้วย วาจา
อย่าถากท่านด้วยตา ติค้อน
ฟังคำกล่าวมฤษา โสตหนึ่ง นะพ่อ
หยิบบ่ศัพท์กลับย้อน โทษให้กับตน ฯ

๒๙๖
๏ อย่าชักน้ำน่านเข้า คลองคู
อย่าแนะเศิกศัตรู สู่เหย้า
ไฟในอย่าเชิดชู นำออก
ไฟนอกอย่านำเข้า หม่นไหม้มัวหมอง ฯ

๒๙๗
๏ โลภทรัพย์ครองห่อนได้ โดยถวิล
คนมักมังสากิน บาปสู้
มักเมาเล่าฤๅยิน- ดีสัจ ศีลนา
คนมักมากเล่นชู้ ห่อนรู้กลัวอาย ฯ

๒๙๘
๏ เกิดตระกูลมูนมากทั้ง เงินทอง
ทรัพย์ท่านนึกตรึกปอง ใคร่ได้
ทรัพย์ตนไป่ครอบครอง แจกจ่าย เสียแฮ
จักฉิบหายวายไร้ เร่งไร้เร็วพลัน ฯ

๒๙๙
๏ ขันขนขุยฆ่าไม้ หนามมี
คิดพ่างผลกทลี ฆ่ากล้วย
ลูกม้าฆ่าชนนี ลาเกิด ตนนา
ลาภฆ่าคนโลภม้วย ดุจไม้มีหนาม ฯ

๓๐๐
๏ เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ มังสา
นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา ไป่อ้วน
สองสามสี่นายมา กำกับ กันแฮ
บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน บาทสิ้นเสือตาย ฯ

๓๐๑
๏ กาน้ำดำดิ่งด้น เอาปลา
กาบกคิดใคร่หา เสพบ้าง
ลองดำส่ำมัจฉา ชลชาติ
สวะปะคอค้าง ครึ่งน้ำจำตาย ฯ

๓๐๒
๏ หยกหยกนกได้ไม่ พอแกง
กินบ่เกิดเป็นแรง เรี่ยวได้
หง่อยหง่อยค่อยจัดแจง ตามติด ไปนา
พร้าเหน็บเก็บได้ใช้ เชือดชิ้นกินพอ ฯ

๓๐๓
๏ คนมีมักเหี่ยวแห้ง หวงแหน
กินอยู่สู้ขาดแคลน พร่องท้อง
คนกากยากไร้แกน โกยกอบ กินแฮ
เป็นวิบัติขัดข้อง คิดแล้วหลากเหลือ ฯ

๓๐๔
๏ ไม้ตรงคดชอบใช้ โดยปอง
เศษเล็กเลื่อยเขียงรอง ตั่งได้
โดยต่ำแต่สะเก็ดกอง สุมใส่ เพลิงแฮ
กายบ่ต้องการใช้ ชั่วแท้ถมดิน ฯ

๓๐๕
๏ รูปชายหญิงทั่วท้อง ธาตรี
เป็นภักษ์แก่เดือนปี สุดสิ้น
อัฐิถมทั่วปถพี รายเรี่ย
ประเทศเท่าปีกริ้น ร่างพ้นฤๅมี ฯ

๓๐๖
๏ เวฬุลัดหน่อขึ้น ลำหลาย
สาหัสตัดแทงปลาย หน่อน้อย
ลำใหญ่รุ่นรอนราย ฤๅว่าง เว้นแฮ
ดั่งแก่หนุ่มเด็กจ้อย จักพ้นตายไฉน ฯ

๓๐๗
๏ โคควายวายชีพได้ เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยัง อยู่ไซร้
คนเด็ดดับสูญสัง- ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้ แต่ร้ายกับดี ฯ

๓๐๘
๏ ร่างกายมนุษย์นี้ไป่ เป็นการ
คำกล่าวเป็นแก่นสาร เลิศแล้ว
เลื่องฦๅชื่อเชิดนาน ดีชั่ว
โอ้ร่างตายแล้วแคล้ว คลาดสิ้นเสร็จศูนย์ ฯ

๓๐๙
๏ ฝนแล้งรุกขชาติเศร้า โศกสลด
ฝนชุ่มเชยใบสด สร่างเศร้า
ไม้ล้มเพื่อลมกรด ตรงฟัด
ตายแต่ยังหนุ่มเหน้า แน่แท้กรรมหลัง ฯ

๓๑๐
๏ พฤกษ์ใดสล้างลูก เหลือหลาย
ฝูงวิหคกลุ้มกราย แกล่ใกล้
ยามผลหล่นกระจาย กำจัด
นกบ่มาจับไม้ ที่ต้นสักตัว ฯ

๓๑๑
๏ นกเพลินพึ่งพุ่มไม้ ใบบัง
ปลาย่อมยินดียัง น่านกว้าง
จระเข้คิดแสวงวัง เย็นชื่น
น้ำจิตคนบ่ร้าง ร่มเกล้าโพธิ์ทอง ฯ

๓๑๒
๏ หนูครวญใคร่พ้นจั่น จำไกล
นกก็เหนื่อยหน่ายใจ จากแร้ว
มัจฉาชาติกลัวภัย เพียรหน่าย แหแฮ
คนผิดคิดใคร่แคล้ว คลาดพ้นเขาขัง ฯ

๓๑๓
๏ พฤกษ์ผลต้นดกเบื้อง ปลายวาย
อ้อยกัดต้นสืบปลาย สุดพ้น
การกิจคิดสบาย ภายภาค หน้านา
ดั่งกัดปลายสืบต้น รสอ้อยเอมใจ ฯ

๓๑๔
๏ ป่าป่งดงไซร้ใคร่ ยินดี
บ้านถิ่นทิ้งทอดหนี เริดร้าง
สัตว์ไพร่ใคร่เปรมปรีด์ นคเรศ
เป็นพิกลยลอ้าง ดั่งนี้ดูฉงน ฯ

๓๑๕
๏ มีศิลปศาสตร์รู้ ใดใด ก็ดี
บุญบ่ทำไว้ใน ชาติกี้
ได้สมสิ่งพึงใจ จักเสพ
สมบัติย่อมหลีกลี้ เพิ่มผู้มีบุญ ฯ

๓๑๖
๏ · ด วงเดือนดาวบ่ห้อม เห็นงาม ฤๅพ่อ
หงส์บ่มีหมู่ตาม แวดล้อม
สาครขาดคลื่นทราม โสภาคย์
ราชจากขุนหอกห้อม แห่แล้วฤๅงาม ฯ

๓๑๗
๏ ฤๅษีโสภาคย์ด้วย ซูบทรง
สัตว์สี่เท้างามยง ใหญ่อ้วน
บุรุษรอบรู้คง งามเพื่อ รู้แฮ
หญิงจักงามล้นล้วน เลิศด้วยสามี ฯ

๓๑๘
๏ สูงสารสี่เท้าย่าง เหยียบยัน
บางคาบเชี่ยวไปพลัน พลวกพลั้ง
นักรู้ร่ำเรียนธรรม์ ถึงมาก ก็ดี
กล่าวดั่งน้ำผลั้งผลั้ง พลาดถ้อยทางความ ฯ

๓๑๙
๏ เรือนเหย้าตนอยู่นั้น อย่าหมอง
เรือนชะตาแผ่นทอง วาดไว้
เรือนผมอย่ายุ่งหยอง หวีหย่ง ไว้นา
สามประการนี้ให้ หมั่นสู้สงวนงาม ฯ

๓๒๐
๏ ฆ่าควายหมายแล่ล้ม ตัวแพง
กลัวแต่เสียเครื่องแกง ห่อนได้
เฉกเช่นจักจัดแจง การใหญ่ เหย้าแฮ
เกรงแต่มักหมดไม้ ห่อนได้เรือนงาม ฯ

๓๒๑
๏ ไปเรือนท่านไซร้อย่า เนานาน
พูดแต่พอควรการ กลับเหย้า
ริร่ำเรียนการงาน เรือนอาต- มานา
ยากเท่ายากอย่าเศร้า เสื่อมสิ้นความเพียร ฯ

๓๒๒
๏ สิกขาบทยิ่งล้ำ คัมภีร์
เป็นพิษแก่อลัชชี โฉดแท้
คุณธรรม์สิ่งสรรพ์ดี ในโลก
เป็นพิษแก่พาลแล้ ห่อนได้สดับจำ ฯ

๓๒๓
๏ เชียรโรคเป็นพิษด้วย อาหาร
หญิงดรุณอันธพาล หนุ่มเหน้า
เป็นพิษแก่พฤฒิการ บุรุษ
ฤๅกล่อมกลมกันเข้า ดุจน้ำกับเปรียง ฯ

๓๒๔
๏ อาหารเป็นที่ตั้ง เกิดแรง
ปลูกพืชผักฟักแฟง พึ่งน้ำ
แว่นกล้องส่องสำแดง อาโลก
แม่ย่อมเป็นที่ล้ำ เลิศเลี้ยงบุตรตน ฯ

๓๒๕
๏ อาหารเยียหยิบให้ กากิน ก่อนนา
ดีบ่ดีดาลถวิล ลอบรู้
ครั้งแผ่นภพภูมินทร์ ยินโศลก สารนา
แบ่งกึ่งเมืองให้ผู้ กล่าวเกลี้ยงบูชา ฯ

๓๒๖
๏ ล่อปลาเหยื่อชอบน้ำ- ใจปลา
ล่อท่วยโรคด้วยยา ยื่นให้
ล่อคชพวกพังพา เดินปก ไปแฮ
ล่อชาติเชื้อไพร่ได้ แต่ด้วยของกิน ฯ

๓๒๗
๏ มีม้าบ่ขี้ให้ อาจิณ พยศแฮ
ปืนไป่ยิงมลทิน ท่วมกล้อง
ข้าไทบ่ใช้ชิน มันมัก หน่ายนา
เมียไม่หมั่นร่วมห้อง มักร้ายราคี ฯ

๓๒๘
๏ มีเรือรั่ววิดน้ำ ฤๅวาย
มีเจ่งตาบอดพลาย ก่อมก้อ
มีโคกระบือควาย ปละเปลี่ยว
มีแต่เกวียนขาดล้อ ลากใช้ปางใด ฯ

๓๒๙
๏ สารซับมันร้ายขี่ ขาดขอ
โคกระบือขาดปอ ป่านร้อย
เรือค้าขาดสมอ จักทอด ไฉนนา
ข้าทาสขาดนายน้อย- หนึ่งปล้อนไปมา ฯ

๓๓๐
๏ แคะไค้ไปแค่นค้น ตีนงู
แขวะควักดีที่หนู ยากได้
ริและแกะก้ามปู หาเลือด
แสวงสัตย์ยามยุทธ์ไซร้ สี่นี้สุดแสวง ฯ

๓๓๑
๏ จักเจียนจอมปลวกเตี้ย เติมภู- เขาแฮ
ดีแต่แล่เนื้อหนู เพิ่มช้าง
เบียนเบียดเจียดพิษงู เพิ่มพิษ นาคนา
อุตริรองน้ำค้าง ใสซ้ำสาคร ฯ

๓๓๒
๏ จนไก่ใช้เป็ดแข้น ขันขาน
นอกรีตมีดแทนขวาน ถากไม้
เคี้ยวอ้อต่างอ้อยหวาน เป็นรส ฤๅพ่อ
ขาดขัดดอกไม้ใช้ ดอกหญ้ายามจน ฯ

๓๓๓
๏ น้ำอ้อยหรือจักป้อง ปากมด
เกลียงอ่อนห่อนโคลด ละไว้
นารีรูปช้อยชด แซะเฉียด ชายนา
ใครจะนิ่งดูได้ ห่อนเว้น ตัวตน ฯ

๓๓๔
๏ โคแก่กัดหญ้าอ่อน กินใบ อ่อนนา
แม่หญิงยินดีใน หนุ่มน้อย
ฟันหักมักพึงใจ ของอ่อน
บุรุษอายุร้อย รักชู้เมียสาว ฯ

๓๓๕
๏ นารีหรืออิ่มเล้า โลมชาย
อรรณพนิจฤๅวาย อิ่มน้ำ
ของทิพย์เทพห่อนหาย เอมอิ่ม
มนุษยสมบัติล้ำ เลิศท้าวใดลืม ฯ

๓๓๖
๏ เรือแพพึงขี่ข้าม คงคา
ยาหยูกย่อมรักษา โรคไข้
อาวุธเหตุให้ปรา- กฏแก่ ศึกแฮ
มนตร์เวทวิเศษไซร้ ร่ายรู้ฤๅลืม ฯ

๓๓๗
๏ ลำลาดดาษด้วยเหล่า บุษบง- กชแฮ
แดนวนาดอนดง ตื่นไม้
หญิงอยู่สงัดคง เป็นเหตุ
สามประการกล่าวไว้ เที่ยงแท้ธรรมดา ฯ

๓๓๘
๏ พราหมณ์พฤฒิเกลียดน้ำย่อม เสียกิจ
เมืองหวั่นปัจจามิตร แกว่นแกล้ว
ชายใดมักให้สิทธิ์ แก่แม่ เรือนนา
สามประการนี้แคล้ว คลาดผู้สรรเสริญ ฯ

๓๓๙
๏ ตื่นนอนหน้าชื่นช้อย บัวบาน
คำกล่าวฉ่ำเฉื่อยหวาน เพราะพร้อง
เมื่อจักสั่งการงาน ดุจโกรธ
สามประการนี้ต้อง ที่ไท้ชุบชู ฯ

๓๔๐
๏ หวั่นหวั่นว่าวอยู่ใกล้ ลมกวน
ผมกับหวียียวน หย่งเกล้า
วัดชีชิดบ้านชวน ชีบาป
สามประการนี้เย้า ยั่วแท้ธรรมเนียม ฯ

๓๔๑
๏ ชาวชเลฉลาดแล่นใช้ นาวา
ชำนิชำนาญปลา ว่ายน้ำ
ชาวดอนขี่ม้าขา เคยควบ กันแฮ
เรือดั่งลมพัดล้ำ ไล่เนื้อทันแทง ฯ

๓๔๒
๏ แผ่นดินติณชาติไว้ ฤๅมี
มีพฤกษ์มีปักษี จับไม้
น้ำมีหมู่ปลาลี- ลาหลีก ฤาพ่อ
มีทาสมีเข้าให้ เพื่อด้วยแรงมัน ฯ

๓๔๓
๏ ไป่ถอยทวนส่องไซร้ สุริยา
ไป่ถดถอยเจรจา ลั่นแล้ว
ไป่คืนอีกคืออา- ยุล่วง
ไป่กลับคืนชีพแคล้ว รอดปิ้มปางตาย ฯ

๓๔๔
๏ บางคาบภาณุมาศขึ้น ทางลง ก็มี
บางคาบเมรุบ่ตรง อ่อนแอ้
ไฟยมดับเย็นบง- กชงอก ผานา
ยืนสัตย์สาธุชนแท้ ห่อนเพี้ยนสักปาง ฯ

๓๔๕
๏ ยอข้ายอเมื่อแล้ว การกิจ
ยอยกครูยอสนิท ซึ่งหน้า
ยอญาติประยูรมิตร เมื่อลับ หลังแฮ
คนหยิ่งแบกยศบ้า อย่ายั้งยอควร ฯ

๓๔๖
๏ กลยอกันยากล้ำ เหลือใจ
ยอค่อยหย่อยยอใคร ห่อนรู้
ยอย่อมเกิดลาภใน ตนอาต- มานา
ชอบเนตรชอบหน้าผู้ เพื่อรู้ยอคน ฯ

๓๔๗
๏ จักเข้าหาบ้ายศ ยอตาม
คนโลภคำนัลงาม จ่ายแท้
คนมักนักเลงกาม การเสน่ห์ ยอนา
เข้าสู่หมู่ปราชญ์แปล้ ชอบถ้อยทางธรรม ฯ

๓๔๘
๏ คนใดใจหมั้นเล่ห์ เหล็กจาร
จำจดสิ่งสามาญ มั่นไซร้
อุตส่าห์พยาบาล บ่ละ ลืมนา
จักเสร็จสมประโยชน์ได้ ที่แท้โดยเพียร ฯ

๓๔๙
๏ หัวล้านไป่รู้มัก มองกระจก
ผอมฝิ่นไป่อยากยก ถอดเสื้อ
นมยานไป่เปิดอก ออกที่ ประชุมนา
คนบาปไป่เอื้อเฟื้อ สดับถ้อยคำกวี ฯ

๓๕๐
๏ ใครใดและอยู่เหย้า เคหฐาน
เว้นสุภาษิตสาร สวัสดิ์ล้ำ
เจรจาบ่เป็นการ ศูนย์เปล่า
คือดั่งปากเว้นกล้ำ แกล่เหมี้ยงหมากพลู ฯ

๓๕๑
๏ เรือนใดย่ำค่ำเช้า สนธยา
ปราศจากไฟชวาลา มืดกลุ้ม
เรือนนั้นดั่งมรณา นฤชีพ
อันตรายจักหุ้ม ห่อนได้จำเริญ ฯ

๓๕๒
๏ เทศใดดอยไร้รวด อรัญ
เห็นแต่จอมปลวกอัน หนึ่งน้อย
ดุจเมืองไม่มีธรรม์ นักปราชญ์
ชมชื่นแต่แปลร้อย ว่ารู้สุดสูง ฯ

๓๕๓
๏ เป็นคนคิดแล้วจึ่ง เจรจา
อย่ามลนหลับตา แต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญา ตรองตรึก
สติริรอบให้ ถูกแล้วจึงทำ ฯ

๓๕๔
๏ เป็นคนควรคิดกั้ง กันภัย
ทรัพย์มากหมั่นระไว แวดล้อม
เคลิ้มคลับหลับลืมไหล เป็นเหตุ
รั้วมั่นกั้นห้องห้อม ห่อแก้วเงินทอง ฯ

๓๕๕
๏ น้อยทรัพย์อย่าก่อล้อ เลียนความ
ให้นี่อย่าต่อตาม ตอบเต้า
ผู้ใหญ่ย่อมเกรงขาม คารวะ
รู้ประจบโลมเล้า เลือกใช้โดยควร ฯ

๓๕๖
๏ เข้าเถื่อนอย่าหมิ่นพร้า มีไป
เข้าศึกอย่านอนใจ เฉื่อยช้า
อาวุธอย่าวางไกล ขุกค่ำ คืนแฮ
นอนแต่ยามหนึ่งอ้า อาจป้องภัยพาล ฯ

๓๕๗
๏ · ด ำชลเชือกยุดหมั้น อย่าคลาย
คุณพระมั่นไม่ตาย ต่อสู้
ลูกขุนมั่นกฎหมาย เป็นแบบ
สินทรัพย์ให้ท่านกู้ ยึดหมั้นเป็นกรม ฯ

๓๕๘
๏ · ด ินฝั่งแยกอย่าได้ ยาเยียว
ลมจัดประหยัดเลียว แล่นบ้าง
ไฟแรงแล่งน้ำเดียว ฤๅรด · ด ับนา
น้ำแก่งแรงเชี่ยวคว้าง อย่ารั้งเรือขวาง ฯ

๓๕๙
๏ เสน่หาอย่าปล่อยสิ้น สุดสัจ
ยั้งยั้งฟังรหัส จึ่งพร้อง
คนนิ่งจึ่งเอาอรรถ อันลับ แสดงนา
คนกากปากเป็นฆ้อง อย่าใกล้กลัวมัน ฯ

๓๖๐
๏ ที่สุขจักเสพไซร้ ควรถวิล
เมียมิ่งยุอย่ายิน ที่ถ้อย
อยากเข้าคดออกกิน เอมอิ่ม ใจนา
นอนจุ่งนอนแต่น้อย เนิ่นช้าวันตาย ฯ

๓๖๑
๏ อย่าหมิ่นของเล็กนั้น สี่สถาน
เล็กพริกพระกุมาร จีดจ้อย
งูเล็กเท่าสายพาน พิษยิ่ง
ไฟเล็กเท่าหิ่งห้อย อย่าได้ดูแคลน ฯ

๓๖๒
๏ จักจับจับให้มั่น กับตน
อย่าเก็บความเท็จปน แอบอ้าง
จักคั้นอย่าคืนคน ดูหมิ่น
ควรที่ง้างจึ่งง้าง อย่าไง้เมรู ฯ

๓๖๓
๏ ควรเร็วเร็วรวดได้ จึงดี
การสิ่งใดได้ที อย่าช้า
ควรคิดจิตอย่ามี ประมาท
ได้สิบไม่เท่าค้า ขาดสิ้นทุนเดิม ฯ

๓๖๔
๏ การกิจผิดนิ่งไว้ เป็นครู
เมียชั่วอย่าเอาชู เชิดพร้อง
คำผิดวิปริตหู หายซ่อน เสียนา
คบมิตรผิดนั้นต้อง จดไว้ในทรวง ฯ

๓๖๕
๏ ปลูกไม้หมั่นรดน้ำ จำเริญ
ดักลอบอย่าเหมิดเมิน หมั่นกู้
เกี้ยวชู้ชอบเพียรเดิน สารสื่อ
เรียนสิ่งใดใคร่รู้ เร่งให้มีเพียร ฯ

๓๖๖
๏ ปลูกผักปักยอดอ้อย เอาผล
เลี้ยงลูกบ่าวชาวพล เพื่อใช้
แล้วนาอย่านิ่งทน ทำไร่ · ด ้วยแฮ
เลี้ยงลูกเป็ดไก่ไซร้ อย่าได้เสียรัง ฯ

๓๖๗
๏ ถึงรู้อย่าอวดให้ คนหวัว
ฟ้าคะนองต้องคร้ามกลัว เกลือกใกล้
ผ่อนพักรักษาตัว ยามภาค- ภูมิแฮ
อย่าเซี่ยมเขาควายให้ เสี่ยวสู้ชนกัน ฯ

๓๖๘
๏ ช้อนปลาหาต้มแต่ เพียงพอ อิ่มนา
อวดฤทธิ์คิดเยียยอ ใหญ่ล้ำ
เชือดไก่กับเป็ดคอ หนิดหนึ่ง
เอามีดฆ่าโคห้ำ หั่นนั้นหนักแรง ฯ

๓๖๙
๏ หลังคาขาดแล้วลุ่ย ตามกัน
ไป่หมั่นแซมนับวัน รั่วร้าง
โคควายค่าคนมัน หนีหลบ ไปนา
บ่ติดตามบนจ้าง ได้แล้วหมดตัว ฯ

๓๗๐
๏ ไก่ขันยามบอกได้ โดยกาล
น้ำชอบใช้สาธารณ์ ทั่วล้าง
ขวานรู้แต่ถากกระดาน หัวหนัก อยู่นา
เพรียงไพร่ได้แต่จ้าง จ่ายใช้การพล ฯ

๓๗๑
๏ รู้คิดค้าที่ม้วย หมดทุน
รู้รอบเรือนฤๅจุน ขื่อค้าน
หลับตาหน่ายกระสุน อวดแม่น
หมากรุกรู้แปดด้าน ไป่แจ้งตาจน ฯ

๓๗๒
๏ หมูเขาเขามัดไว้ จักหาม
งานใช่งานคานตาม สอดเหล้า
ชู้เขาจักกอดกาม- สังวาส กันนา
สังเวชวางวิ่งเข้า กีดหน้านอนกลาง ฯ

๓๗๓
๏ หนีเสือขึ้นไม้รอด ปากเสือ
พบต่อแตนดุเหลือ ต่อยต้อง
หนีแรดร่ายลงเรือ รอดจาก แรดนา
ปะจระเข้ในท้อง น่านน้ำหนุนเรือ ฯ

๓๗๔
๏ ทางไกลไปค้าคู่ ตนตาย
อดอยากลำบากกาย เกิดไข้
อยู่กินถิ่นฐานสบาย บ่ยาก ใจนา
การกิจคิดแล้วได้ ง่ายแท้ทุกอัน ฯ

๓๗๕
๏ ค้าใดไป่เท่าค้า คือบุญ
ค้าสัดจองต้องทุน มากไว้
ค้าความคบลูกขุน ชวนชอบ
ค้าบ่ค้าใดได้ ยากแท้ธรรมดา ฯ

๓๗๖
๏ พิมเสนมีรสเร้า เสาวคนธ์
ไปเกลือกกลั้วเกลือกล ใช่เชื้อ
เป็นไทยไป่ทำงาน งามชาติ ตนนา
คบทาสท่านจักเกื้อ กับหน้าตัวไฉน ฯ

๓๗๗
๏ สัตว์อื่นตื่นเต้นแต่ ควรไกล
กระต่ายตื่นตูนไป สุดหล้า
ช้างม้าตื่นฟืนไฟ ฟัดฟาด หยุดแฮ
คนตื่นข่าวศึกส้า สุดห้ามมันหาย ฯ

๓๗๘
๏ หาญห้าวตาวบ่ได้ จวนฟัน
แหลนและทวนไป่ทัน ต่อต้าง
พลคชจรดผัน งาประ งาแฮ
ปืนไป่ทันนั่งง้าง นกจ้องใจเกรง ฯ

๓๗๙
๏ รังแกกำปั้นต่อย ตีดิน
ไข่กระทบหินหิน ห่อนลื้น
แมลงเม่าโฉบเพลิงบิน บังอาจ
คนเคอะคิดตื้นตื้น ลูบเหล้นคมตาว ฯ

๓๘๐
๏ หนูร้ายแรงโทษแท้ เรือนผลาญ
ลิงถ่อยจัณฑาลราน ป่าไม้
กาโฉดชาติอันธพาล เบียนหมู่ นกนา
พราหมณ์โหดโทษทิ้งให้ เบียดเบื้องนรชน ฯ

๓๘๑
๏ อารักษ์มีทั่วไม้ รุกขมูล
ที่ศักดิ์สิทธิ์บริบูรณ์ เครื่องเส้น
ที่ไป่ศักดิ์สิทธิ์ศูนย์ สงัดลาภ
ดุจดั่งเสวกเว้น ว่าถ้อยความเมือง ฯ

๓๘๒
๏ นายหนึ่งแรงโกรธร้าย เรียกขาน
นายหนึ่งบ่เจือจาน ทรัพย์บ้าง
นายหนึ่งเมื่อเอางาน บย่อง ยกนา
นายหนึ่งข่มคุณมล้าง สี่นี้เสพไฉน ฯ

๓๘๓
๏ ผิวฆ่านางนาฏถ้วน ถึงพัน
ฆ่าพฤฒิพราหมณ์พรตกรรม์ เกือบร้อย
ฆ่าโคอุสุภสรรพ์ แสนโกฏิ ก็ดี
บาปบ่เปรียบปรับถ้อย ท่านให้ลำเอียง ฯ

๓๘๔
๏ ทำผิดลึกลับได้ พันวา ก็ดี
ทำชอบเสมอภูเขา เขตขั้น
อย่าคิดจิตสัญญา หลีกลับ อยู่นา
ผิดชอบที่ทำนั้น หากให้คนเห็น ฯ

๓๘๕
๏ พวกพ้องผิดเท่าช้าง งาเงา
พวกอื่นโทษเท่าเหา หากรู้
โทษตนเท่าภูเขา คิดปิด ไว้แฮ
โทษท่านเท่าก้อยสู้ ส่งให้เห็นสูง ฯ

๓๘๖
๏ โทษตนงำเงื่อนไว้ ห่อนแถลง
โทษท่านเก็บมาแจง ดุจเบี้ย
ตัวเต่าสี่ตีนแฝง หัวหนึ่ง ซ่อนนา
หยิบกล่าวแต่โทษเหี้ย มุขเท้ารุงรัง ฯ

๓๘๗
๏ น้ำใช้ใส่ตุ่มตั้ง เต็มดี
น้ำอบอ่าอินทรีย์ อย่าผร้อง
น้ำปูนใส่เต้ามี อย่าขาด
น้ำจิตอย่าให้ข้อง ขัดน้ำใจใคร ฯ

๓๘๘
๏ น้ำเงินน้ำนากแม้ มัวแสง
น้ำซ่มต้มน้ำแปลง ผ่องได้
น้ำจิตวิปริตแหนง มัวหม่น
น้ำอื่นเอาลูบไล้ ห่อนล้างใจเคือง ฯ

๓๘๙
๏ ปางใช้ปางขาดเข้า แพงเกียน ละชั่งแฮ
วิบัติบรจองเบียน จักม้วย
ปางต้องปรับไหมเตียน ตนมอด ก็ดี
ปางมิตรได้ทุกข์ด้วย มิตรนั้นไหนเสมอ ฯ

๓๙๐
๏ หมาเอยสูเหนื่อยแท้ ทุกวัน
ไปไล่เนื้อไล่ทัน ท่านได้
เจ้ามันแม่นหื้อมัน กินแต่ เข้านา
แมวบ่ทำใดให้ หม่ำเข้ากับปลา ฯ

๓๙๑
๏ ปูเปี้ยวหัวเปล่าไซร้ ตีนยัง
งูบ่มีตีนตรัง ไต่ไม้
นมไก่บ่มีหวัง เลี้ยงลูก เป็นแฮ
ชายตกเข็ญใจไร้ อย่าได้ดูแคลน ฯ

๓๙๒
๏ อา สาสุดสิ้นเรี่ยว แรงกาย
ภัพ และผลพังหาย โหดเศร้า
เหมือน เพลิงตกสินธุ์สาย ศูนย์ดับ ไปนา
ปูน ต่อขาดขอดเต้า จึ่งรู้คุณปูน ฯ

๓๙๓
๏ เนื้อ ในไตตับต้ม แกงยำ
ไม่ ประสบสักคำ ที่ลิ้น
ได้ ยากลากโครงทำ เสียเปล่า
กิน แต่เขาเราชิ้น- หนึ่งได้ไป่มี ฯ

๓๙๔
๏ หนัง เนื้อเถือท่านไว้ รองกาย
ไม่ แบ่งปันชั้นชาย เชือดไว้
ได้ ทุกข์แทบตัวตาย เสียเปล่า
นั่ง แต่ลำแพนไม้ ตอกสู้สานเอง ฯ

๓๙๕
๏ มือ ซ้ายขวาขาดนิ้ว ฤๅมี
ด้วน เด็จดูใดดี หนึ่งน้อย
ได้ ทองเท่าต่อมตี แหวนประดับ
แหวน จะสอดสวมก้อย กุดสิ้นใส่ไฉน ฯ

๓๙๖
๏ ตา มัวมืดคู่เข้า คูหา
บอด บ่ทราบสุริยา ย่ำฆ้อง
ได้ สมสิ่งเสริมตา จักใส่
แว่น แต่หยิบจ้องจ้อง จับแล้วเวียนวาง ฯ

๓๙๗
๏ หัว หูดูชั่วช้า ไฉไล
ล้าน เลื่อมแลเงาใส เกือบแก้ว
ได้ ส่องกระจกใจ เจียนขาด
หวี แต่จับจ้องแล้ว ลูบโอ้อายเอง ฯ

๓๙๘
๏ รูป ชั่วแต่ชอบแล้ว ใดปาน
รส รักผักว่าหวาน หล่อนต้ม
กลิ่น อบจบดินดาล บ่ดุจ เจ้านา
เสียง ก็จับใจหล้ม โลกแล้วฤๅมี ฯ

๓๙๙
๏ น้ำ ฝนหม่นเมฆตั้ง ตกตะบึง
ไหล หลั่งถั่งชรทึง ท่วมเหย้า
ไฟ ติดนิดหนึ่งพึง จักก่อ
ดับ ระทมถ่านเถ้า หิ่งห้อยไป่มี ฯ

๔๐๐
๏ รู้หลบ พบเศิกเสี้ยน กลัวไกล
เป็นปีก ป้องกันภัย ผ่อนช้า
รู้หลีก เล็ดลอดไป สุดเนตร
เป็นหาง ไกลกล่าวกล้า ต่อด้วยดัสกร ฯ

๔๐๑ (๑๖๓)
๏ ช้างสาร หกศอกไซร้ เสียงา
งูเห่า กลายเป็นปลา อย่าต้อง
ข้าเก่า เกิดแต่ตา ตนปู่ ก็ดี
เมียรักนอนร่วมห้อง อย่าไว้วางใจ ฯ

๔๐๒
๏ เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่าย หลายหมื่นมี มากได้
เพื่อนตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์
หากยากฝากผีไข้ ยากแท้จักหา ฯ

๔๐๓
๏ ไป่เห็นน้ำ หน้าด่วน ชวนกัน
ตัดกระบอก แบ่งปัน ส่วนไซร้
ไป่เห็นรอก อวดขัน มือแม่น
ขึ้นน่าไม้ ไว้ให้ หย่อนแท้เสียสาย ฯ

๔๐๔
๏ ชายเฉกเท้าหน้าคช เคียงความ เทียบแฮ
หญิงเล่ห์เชิงหลังยาม คลาดเคลื่อน
การกิจคิดงามตาม สุดแต่ ผัวนา
เมียมิ่งเหมือนด้ายร้อย สอดเคล้าตามเข็ม ฯ

๔๐๕
๏ เมียใดใจดุร้าย ริษยา
กินเติบใช้เชิงตา เฉิดช้อย
มักเที่ยวสู่คฤหา แห่งท่าน นะพ่อ
แม้ว่ามีบุตรร้อย หนึ่งไซร้มละเสีย ฯ

๔๐๖
๏ ปุยนุ่นเบาชั่งเพี้ยง ทำเนา นะพ่อ
คนที่เบาความเบา กว่านั้น
หนักหินมั่นคงเขา ควรนับ หนักนา
ไป่เท่าหนักแน่นกลั้น อดถ้อยทรชน ฯ

๔๐๗
๏ ลามกประเทศทั้ง ทุรมิตร
อีกตระกูลเผ่าชิด ชั่วร้าย
ภรรยาทาสทุรจิต จำพวกนี้พ่อ
ควรบุทคลพึงผ้าย ผ่อนลี้หลีกหนี ฯ

๔๐๘
๏ นกรอดหลุดบ่วงแล้ว ราวสาม คาบนา
ชีหลีกหลายอาราม เร่เร้น
สตรีเตร่จิตตาม ชายสี่ สามแฮ
อย่าประมาทใช่เหล้น มากด้วยมายา ฯ

๔๐๙
๏ ทวยใดมิตรล่อล้าง หลายที แล้วพ่อ
ขืนจักก่อไมตรี เสพส้อง
ผู้นั้นนับว่ามี ชนม์ชีพ ไฉนนา
เหมือนแม่อัสดรท้อง แก่ใกล้ความตาย ฯ

๔๑๐
๏ อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย
หยาบบ่มีเกลอกราย เกลื่อนใกล้
ดุจดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดับนา
สุริยส่องดาราไร้ เมื่อร้อนแรงแสง ฯ

๔๑๑
๏ นักบวชบ่มักน้อย พินาศ ศีลนา
กษัตริย์สันโดษขาด ที่ไท้
งามเมืองแม่อายอาตม์ อับทรัพย์ สินแฮ
หญิงเผ่าเว้นอายไซร้ สุดร้ายฤๅงาม ฯ

๔๑๒
๏ ทรมานมิตรด้วยไป่ พูดกับ เขานา
ผจญหมู่โจรจำขับ เฆี่ยนไซร้
ตัดเมียไป่มอบทรัพย์ สมบัติ ให้แฮ
ร้อนราคจริตให้ โภชน์น้อยพึงกุญช์ ฯ

๔๑๓
๏ เรือนไร้บุตรสืบซั้น ทรัพย์มอด หมดแฮ
บ่อบ่มีฝนขอด ค่นน้ำ
พฤกษชาติปราศจากยอด ยืนอยู่ ไฉนนา
ปากไป่มีสัจซ้ำ เสื่อมสิ้นแก่นสาร ฯ

๔๑๔
๏ เทศใดภัยพ้องพาธ พาลสรรพ์ สัตว์นา
สัปปุรุษสีหราชผัน อื่นย้าย
กาโฉดทุรชนฉกรรจ์ กาจจิต นี้พ่อ
มันมักสู่เทศร้าย อยู่ใต้โดยวิสัย ฯ

๔๑๕
๏ เห็นภัยใหญ่แต่ช้า จักถึง ตนแฮ
ปราชญ์ย่อมผันผ่อนพึง หลบลี้
ภัยใดด่วนโดนตรึง ตราติด ตัวนา
ใจปราชญ์ปราศแสยงชี้ เช่นหล้าแลไศล ฯ

๔๑๖
๏ เมืองใดไร้ราชทั้ง ปราชญ์สดับ ก็ดี
อีกตระกูลมีทรัพย์ สิ่งให้
หนึ่งไร้นทีกับ ขุนแพทย์
ภัยมากเมืองนั้นไซร้ ท่านห้ามอย่าเนา ฯ

๔๑๗
๏ แม่เหมือนข้าศึกทั้ง บิดร · ด ้วยแฮ
เหตุบ่สอนบุตรสอน เมื่อน้อย
ครั้นใหญ่ไป่งามอร ออกที่ ประชุมนา
เยียเยี่ยงยางเจ่าจ้อย จับมั้วหมู่หงส์ ฯ

๔๑๘
๏ หมากพลูปูนไป่ป้าย บราง รสนา
แกงบ่เจือเกลือจาง จืดกล้ำ
ไร้ทรัพย์สิ่งสำอาง จักโอ่ งามฤๅ
ใช่ปราชญ์ปริศนาล้ำ ลึกแก้ฤๅงาม ฯ

๔๑๙
๏ ชุมนุมฤดูสี่ไซร้ สรัทกาล ใหญ่นา
เมียที่งามเป็นประธาน ทั่วหน้า
บุตรชายเชษฐกุมาร นับใหญ่ ยิ่งแฮ
ล้ำโลกสี่ทิศอ้า เอกเบื้องอุดร ฯ

๔๒๐
๏ บุตรใดครุ่นครุ่นสร้าง กองกรรม
ชื่อว่ามารดาทำ เที่ยงพร้อง
ส่ำศิษย์บ่เกรงยำ เยียบาป
โดยโลกย์โวหารร้อง เรียกแท้ครูทำ ฯ

๔๒๑
๏ มักเมาหมดสัจถ้อย เจรจา
แรงโลกละอายหา ห่อนได้
มักเนื้อหน่ายกรุณา เป็นเที่ยง
บรรพชิตหญิงอยู่ใกล้ แกล่สิ้นศีลแสวง ฯ

๔๒๒
๏ คนยากอยากภักษ์เคี้ยว ของแพง
คนโรคบำราศแรง ร่านปล้ำ
คนโฉดอวดสำแดง ธรรมเทศ- นานา
สามเหล่าเขานี้ก้ำ กึ่งบ้ากลกัน ฯ

๔๒๓
๏ รักบุตรสิไป่ให้ พากเพียร
ปราศจากวิทยาเรียน เริ่มร้าง
พ่อเหมือนศัตรูเบียน บุตรอีกเล่านา
แม่ดั่งไพรีล้าง ลูกให้เสียสกนธ์ ฯ

๔๒๔
๏ เมียดีดุจทาสรู้ การเรือน รอบแฮ
อายแก่สามีเหมือน ดั่งน้อง
เป็นที่ปรึกษาเตือน ดัดดุจ มาดายนา
ยามเมื่อผัวเคืองข้อง อดกลั้นกลัวเกรง ฯ

๔๒๕
๏ โสนัขสุนัขพ้อง พบกัน
มันย่อมแสยะยิงฟัน ปากแห้
เฉกเช่นหมู่พาลผัน พะพวกพาลนา
ร้ายต่อร้ายร่าแต้ ต่างกล้าอวดแข็ง ฯ

๔๒๖
๏ คับอกออมอยู่ได้ โดยหวัง
คับแคบเคียงคนชัง อยู่ช้ำ
คับจิตเจ็บประนัง เนายากยิ่งแฮ
แค้นคับเข็ญใจล้ำ เร่งร้อนฤๅเสบย ฯ

๔๒๗
๏ อย่าปองสิ่งแก้วไป่ ควรปอง
เขาบ่ตรึกอย่าตรอง ตริบ้า
เร่งคิดคิดแต่ของ ควรคิด นะพ่อ
การที่ศูนย์เปล่าอ้า อย่าได้ควรปอง ฯ

๔๒๘
๏ ผจญคนมีศักดิ์ด้วย หมอบกราบ
ผจญท่วยทรพลทาน แจกให้
เสมออาตม์จักทรมาน ชอบอด ออมแฮ
ผจญหมู่ข้าศึกไซร์ ล่อเลี้ยวลวงประหาร ฯ

๔๒๙
๏ โลภรู้เรียนมากสิ้น ศิลปศาสตร์
ยามจักปองไป่อาจ กล่าวได้
ผู้นี้นับว่าปราชญ์ ฦาชื่อ ไฉนนา
กล่าวบ่ฉานเฉกใบ้ บอกข้อความฝัน ฯ

๔๓๐
๏ คนพาลพวกหนึ่งน้ำ ใจหาญ
รู้ว่าตนเป็นพาล กระด้าง
พวกนี้วัจนาจารย์ จัดใช่ พาลพ่อ
นับว่าปราชญ์ได้บ้าง เพื่อรู้สึกตน ฯ

๔๓๑
๏ ใครรักย่อมว่าเพี้ยง พงศ์พันธุ์
ใครชอบชิดชอบชมฉัน เพื่อนไว้
ใครเลี้ยงรักษาครรภ์ คือแม่ ตนนา
ใครดับดำฤษณ์ได้ ชื่อชู้เมียสม ฯ

๔๓๒
๏ คบปราชญ์เปรียบเสพอ้อย เอมใจ
กินแต่ปล้องปลายไป ตราบต้น
คบคนโหดหื่นไหล เหลวจืด จางแฮ
แหนงหนึ่งอ้อยกัดร้น แต่ต้นตลอดปลาย ฯ

๔๓๓
๏ เมตตาเตือนจิตให้ คนหวัง พึ่งนา
แรงเคียดคนหน่ายชัง ทั่วหน้า
ทานเป็นยอดยายัง เกียรติยศ ยิ่งแฮ
ตระหนี่กลกำพร้า พรากผู้สมาคม ฯ

๔๓๔ (๒๕๕)
๏ มักคร้านฤๅรอบรู้ วิทยา
ความรู้ถ่อยสินหา ไป่ได้
ไร้ทรัพย์อับผู้มา เป็นเพื่อน
ญาติมิตรไป่มีไซร้ สุขร้างแรมโรย ฯ

๔๓๕ (๖๐)
๏ มณฑกทำเทียบท้าว สีหะ
แมวว่ากูพยัคฆะ คาบเนื้อ
นกกระจอกมีมานะ ว่ายิ่ง ครุฑนา
เชิญใจมีข้าเกื้อ หยิ่งหยิ้งแสนทวี ฯ

โคลง บทบรรทัดล่างจากนี้ ไม่มีในฉบับสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ) แต่พบในฉบับกรมวิชาการและในหนังสือแบบเรียน (ฉบับคัดลอก)

แยกไว้เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจและเขียนเพิ่ม และรอให้ผู้เขียนท่านอื่นต่อยอดและเพิ่มบทความขยับขยายเป็นส่วนย่อย หวังให้ครบถ้วนตามฉบับประชุมโคลงฯ

ก ∞ · ด – (๑๖๘) ว๑๗๐
๏ รสหวานในโลกนี้ มีสาม
หญิงรูปบริสุทธิ์งาม อีกอ้อย
สมเสพรสกลกาม เยาวโยค
หวานไป่ปานรสถ้อย กล่าวเกลี้ยงไมตรี

ก ∞ · ด – (๑๘๐)
๏ นารีเสาวภาครูป เป็นทรัพย์
ชายมีความรู้สรรพ ทรัพย์ได้
พราหมณ์รู้เวทยานับ ว่าทรัพย์ พราหมณ์นา
ภิกษุเกิดทรัพย์ไซร้ เพื่อรู้ธรรมา ฯ

ก ∞ · ด – (๑๗๘)
๏ พญากลัวข้าศึก เบียดเบียน
ชี้บ่เล่าเรียนเขียน อ่านไซร้
ชาวนาละความเพียร คร้านเกี่ยว การนา
ทั้งสามสิ่งนี้ให้ โทษแท้สาธารณ์ ฯ

ก ∞ · ด –
๏ ชาติ เกิดรูปพร้อม อาการ
ชรา ร่างสาธารณ์ เหี่ยวแห้ง
พยาธิ บันดาล ต่างต่าง
มรณะ กาแร้ง แย่งยื้อกันกิน ฯ


๏ ทำดีดีส่งให้ เห็นผล
ทำชั่วชั่วก็ดล ชั่วให้
ชั่วดีดุจตราตน ตีบอกไว้นา
ใครชั่วใครดีไซร้ สืบได้ด้วยกรรม

โคลง บทบรรทัดบนนี้ ไม่มีในฉบับสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

ก – · ด –
๏ สารสืบฉบับสิ้น เสร็จสนอง
ชำระเรื่องคงของ เก่าแท้
ผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงลอง ลิขิต เดิมนา
ล้วนโอวาทปราชญ์แท้ ถี่ถ้วนควรถนอม ฯ

ที่มา wikisource.org