สุขภาพจิตดี เพราะมีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

“สุขภาพจิตดี เพราะมีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง”

บรรยายโดย

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

เรียบเรียงจากการถอดเทปคำบรรยายโดย

ศาสตราจารย์นายแพทย์พิเชฐ อุดมรัตน์
นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

โครงการ “ตามรอยพ่อ ขอพอเพียง : สุขภาพจิตดีเพราะมีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง”
ของสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนการใช้ชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง


สุขภาพจิตดี เพราะมีชีวิต ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง*

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล**

มิติของชีวิต ประกอบด้วยสามวงจร

มิติของชีวิตเราเต็มไปด้วยความหลากหลาย ซึ่งเกี่ยวพันกันไปหมด เช่น วงจรที่อยู่รอบ ๆ ตัวมนุษย์ เป็นวงจรเศรษฐกิจวงหนึ่ง วงจรสังคมวงหนึ่ง และวงจรของสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติอีกวงหนึ่ง เป็นเหมือนห่วงสามห่วงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ความจริงแล้วห่วงสามห่วงของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมนั้น ก็เป็นวงเดียวกัน เพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ไม่ได้อยู่คนเดียว มีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในบ้าน จนถึงองค์กรที่เราทำงานอยู่ มีเพื่อนร่วมงาน ในวงกว้างก็มีเพื่อนร่วมชาติ เป็นต้น ในด้านเศรษฐกิจนั้น ทุกวันเราอยู่กับกระแสบริโภค ในลักษณะที่ถูกกระตุ้นให้บริโภคมากขึ้น ๆ จนเกินความพอเพียง เกินความจำเป็น

โลกขั้วเดียว โลกของบริโภคนิยม

เวลานี้โลกเป็นโลกขั้วเดียว คือโลกของทุนนิยม เสรีนิยม หรือบริโภคนิยม สามคำนี้เป็นคำเดียวกัน เมื่อก่อนนี้ มีสังคมนิยม กับมีทุนนิยม และถ่วงกันไปถ่วงกันมา แต่เดี๋ยวนี้เหลือเพียงโลกเดียว โดยระบบ ทุนนิยม บริโภคนิยม และเสรีนิยมนั้น อยู่ได้โดยผลกำไรจากการประกอบการ ทุกวันเราลองสังเกตดูซิครับ จะเห็นว่าเราถูกกระตุ้นให้บริโภคผ่านจอทีวี ผ่านหนังสือพิมพ์ ผ่านโปสเตอร์ติดข้างทางเยอะแยะ ให้เราบริโภคกันอย่างไม่หยุดยั้งด้วย ถ้าวันนี้คุณบริโภคชิ้นเดียว เขาก็พยายามจะทำให้คุณบริโภค 2 ชิ้นในวันพรุ่งนี้ให้ได้ ทีนี้การบริโภคของเรานั้น ก็บริโภคกันจนเกินเหตุ อย่างที่บอกกันไปแล้วว่า บริโภคจนไปกระทบกับสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราบริโภคอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแม้กระทั่งก๊าช เมื่อบริโภคเสร็จแล้วมันก็จะแปรสภาพเป็นขยะ นั่งอย่างนี้ อย่านึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรนะ นั่งเฉย ๆ ก็ยังบริโภค โดยบริโภคออกซิเจนเข้าไป แล้วหายใจเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา พอผ่านตัวเราแล้ว ล้วนแต่เป็นขยะทั้งสิ้น เป็นขยะแล้วเราทำอะไร เราก็เหวี่ยงกลับไปยังสิ่งที่เราเอาไปใช้ เพราะทุกสิ่งที่เราบริโภคนั้น ไม่ว่าจะบริโภคโดยตรง หรือแปรรูปมาบริโภค ก็ล้วนมาจาก “ธรรม” ธรรมตัวนั้นคืออะไร ก็คือธรรมชาติครับ ไม่มีอะไรที่ไม่ได้มาจากธรรมชาตินะครับ ทุกอย่างแม้แต่เสื้อที่เราสวมใส่ สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบห้อง ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น มาจากดินน้ำลมไฟ มาจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา แล้วพอผ่านการบริโภคของมนุษย์เสร็จแล้ว ก็กลายเป็นขยะ เหวี่ยงกลับไปอีก มนุษย์จึงเป็นทั้งผู้บริโภคและเป็นผู้ทำลายไปพร้อม ๆ กัน

บริโภคเกินพอ นำไปสู่หายนะ

เวลานี้สังเกตไหมครับว่าเราถูกระบบที่ครอบงำโลกนี้กระตุ้นให้เราบริโภคอย่างเกินขอบเขต สิ่งกระตุ้นอยู่รอบ ๆ ตัวเราทั้งหมด ดูในห้องนี้สิ ใช้พลังงานกันทั้งสิ้นเลย ใช้พลังงานมาเปิดแอร์บ้าง เปิดไฟบ้าง ทั้ง ๆ ที่ข้างนอกมีแสงฟรี เป็นแสงอาทิตย์ เราก็พูดว่าประหยัดพลังงาน แต่นี่แสงอาทิตย์ไม่ให้เข้ามาในห้องเลยแม้แต่นิดเดียว เราชินกับความสะดวกสบาย ของเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสินค้าที่เอื้ออำนวยให้เราเสวยสุข โดยหารู้ไม่ว่า ความสะดวกสบายเหล่านี้ จะนำพามนุษย์ทั้งหลาย ไปสู่ความหายนะ ตัวอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในภาคเหนือของประเทศไทย ภารกิจของผมตอนนี้ก็ไปแก้ปัญหาในกรณีน้ำท่วมอยู่ ด้วย โดยมูลนิธิชัยพัฒนาได้เข้าไปสร้างบ้าน 400 หลัง เพื่อจะบำบัดทุกข์ของราษฎร ทำไมถึงเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่เช่นนี้? ก็เพราะมนุษย์เราบริโภคเกินพอดี ป่าอยู่ดี ๆ ก็ไปตัดไม้ทำลายป่า พอโค่นไม้เสร็จแล้ว ก็แสวงหาประโยชน์ โดยไม่ทันนึกถึง ไม่ทันเฉลียวใจ ไปทำสวนผลไม้บนที่ลาดชัน ใจร้อนก็ขยายพันธุ์โดยการต่อตา ทาบกิ่ง ปลูกอยู่บนผิวดิน ในเมื่อต้นไม้ไม่มีรากแก้ว พอฝนชะลงมา ก็ลงมาทั้งแถบเลยสิ เพราะความโลภแท้ ๆ อยากรวยเร็ว นั่นคืออวิชชาของมนุษย์ ที่เชื่อว่าความสุขได้มาจากความรวย แล้วเป็นไงครับ รวยแล้วเป็นทุกข์ก็มีใช่ไหม มีเยอะด้วย ยิ่งรวย ยิ่งทุกข์ ตัวอย่างเยอะแยะไป รวยก็ดีครับ แต่ต้องบริหารความรวยให้ถูกต้อง อย่าให้ความรวยมาบริหารเรา ถ้าความรวยมันเป็นนายเราเมื่อไหร่ หายนะเมื่อนั้น เพราะเราจะเป็นทาสมัน เป็นทาสของเงิน แล้วเงินตัวนี้จะผลักดันให้มนุษย์ไปสู่ความล่มสลาย ผมไม่ได้พูดขู่นะครับ

เวลานี้มนุษย์บริโภคทรัพยากรธรรมชาติในอัตรา 3 ต่อ 1 หมายความว่ามนุษย์เราบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไป 3 แล้วดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นชดเชยกลับมาได้แค่เพียง 1 แสดงว่าเรากินเกินทุน กินเกินกว่าที่เราจะมีอยู่ ถ้าเหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะเหลืออะไร ไม่เหลือหรอกครับ แล้วเดี๋ยวนี้คนเราตายยากขึ้นทุกที เพราะวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทำให้ตายยาก ประเทศที่เจริญแล้วมีแต่คนแก่ทั้งนั้น ไม่ยอมตายสักที ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตายช้ามากเท่านั้น เขาพบว่า 57 คนของคนไข้ที่เจ็บป่วยอยู่ ไม่ได้เจ็บป่วยจากเชื้อโรคหรือไวรัส แต่เจ็บป่วยจากพฤติกรรมของการกินอยู่ที่เกินเหตุ เกินควร เกินพอเพียง เช่น บริโภคมากเกินไป บริโภคไม่ถูกต้อง ทำให้ความดันขึ้น น้ำตาลขึ้น ไขมันขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโรคของคนรวยทั้งสิ้น แล้วเราก็ยังบริโภคเกินเหตุอยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นการทำลายทั้งสภาพแวดล้อมและทำลายตัวเอง

เศรษฐกิจพอเพียงกับสุขภาพจิต

จากที่ผมกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า การบริโภคเกินเหตุ ทำลายตัวเอง จึงไม่ใช่มีผลต่อสุขภาพจิตอย่างเดียว แต่สุขภาพกายก็ถูกกระทบไปด้วย เพราะกายกับจิตนั้น แยกจากกันไม่ได้ ใช่ไหมครับ เมื่อร่างกายไม่ดี สุขภาพจิตก็ทรุดโทรม ขณะเดียวกันถ้าสุขภาพจิตไม่ดี ร่างกายก็แย่ ฉันใดก็ฉันนั้น บางคนกลัวจะตามโลกไม่ทัน กลัวจะตกรถไฟขบวนสุดท้ายของโลก แต่ไม่ถามต่อเลยว่าขบวนรถไฟนั้นจะไปไหน จะไปลงเหวไปสู่ความพินาศหรือเปล่า จะไปตาม globalization กันทำไม globalization คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่คือสิ่งที่เราต้องตาม แต่เราต้องรู้ว่าจะจัดการกับ globalization อย่างไร ถึงทำให้เราอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน คนฉลาดและมีสติปัญญาเขาจะต้องคิดอย่างนี้นะครับ

ในหลวงทรงส่องประทีป นำทางคนไทยไปสู่ความสุข

เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ส่องประทีปให้เราเห็นทางนำไปสู่ความสุขตั้งแต่เมื่อ 60 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 60 ปีก่อน ได้ทรงประกาศไว้แล้ว แต่คนไทยไม่ใส่ใจเอง ทุกวันนี้เราชอบใส่เสื้อเหลือง แต่ไม่ได้คิดอะไรกันเลย อยากจะขอร้องให้เอาเสื้อเหลืองฝังเข้าไปในสมอง ฝังเข้าไปในหัวใจ ผมตั้งข้อสังเกตเสมอว่าพวกเราเห็นพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยมองพระองค์เลย ได้ยินพระเจ้าอยู่หัวแต่ไม่เคยฟังพระองค์เลย สอนกันแทบเป็นแทบตาย ก็ยังทะเลาะเบาะแว้งอยู่ทุกวันนี้ วันแรกที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ก็ทรงสัญญากับเราแล้วว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ทำไมพระองค์จึงรับสั่งเช่นนี้ เราไปแปลว่าธรรมาภิบาลอะไรไม่รู้ แปลเลยเถิดกันไปหมด ชอบใช้คำฝรั่งกันแล้วมาแปลกลับเป็นไทย เช่น ชาวไร่ชาวนาเดิมเราเรียกเขาว่ากระดูกสันหลัง พอวันนี้ไปเรียกเขาว่ารากหญ้า ผมฟังทีไรโมโหทุกที หญ้ามันสำหรับวัวควาย สนามหญ้ามันสำหรับเหยียบย่ำ เดิมเราเคยให้เกียรติชาวไร่ชาวนาว่าเขาเป็นกระดูกสันหลัง เพราะถ้าไม่มีกระดูกสันหลังเราเดินไม่ได้หรอก บัดนี้ไปเรียกเขาว่ารากหญ้า เพราะอะไร เพราะแปลมาจากคำว่า grass root โดยไม่มีจิตคำนึงเลยว่าเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้ว จะสื่อความหมายออกมาอย่างไร นี่พูดจากนักเรียนที่ไปเรียนที่เมืองนอกตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นนะ ถ้าดัดจริตไปใช้ภาษาฝรั่ง ผมขอเปลี่ยนตัว R เป็นตัว L ได้ไหม แทนที่จะเป็น grass root ก็เปลี่ยนเป็น glass root คือจากรากหญ้าเปลี่ยนเป็นรากแก้ว ฟังดูดีกว่าเยอะ

เพราะฉะนั้นเมื่อระบบทุนนิยม เสรีนิยม บริโภคนิยม ผลักดันทำให้เกิดความทุกข์ ไปกระตุ้นกิเลส ตัณหา ให้เกิดความอยากไม่รู้จบ สุขภาพจิตก็แย่แน่ ๆ ครับ เช่น ถ้าเห็นเพื่อนเขาใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ ก็อยากจะใส่โรเล็กซ์บ้าง ผมเรียกโรแหลก ซื้อทีไรกระเป๋าก็แหลกทุกที เห็นเขาหิ้วกระเป๋าอะไร หลุยส์ ติงต๊อง ก็อยากจะมี หลุยส์ ติงต๊องบ้าง ไม่งั้นจะน้อยหน้าเขา แต่หลุยส์ วิตตอง ราคาใบละสี่ห้าหมื่น ความจริงซื้อกระเป๋าผ้าดิบมา 20 บาท ยังเหลือเงินใส่กระเป๋าได้อีกเยอะ

ผมคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงชี้ให้เราเดินไปหาความสุข แต่โดยที่เราไม่เคยมองพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยฟังพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เราไม่เข้าใจอะไร ประโยคที่ตรัสว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมนั้น คือ ฐานรากของการปกครอง พระองค์ทรงวางเป้าหมายของการปกครองแผ่นดินของพระองค์ไว้ว่า “เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ในปี พ.ศ.2524 รัฐบาลแต่งตั้งให้ผมไปถวายงานพระเจ้าอยู่หัว ผมจึงไปเจอประโยคนี้เข้า โอ้โห กระทบใจอย่างยิ่ง สมัยที่ผมไปเรียนกับฝรั่ง ไม่เห็นมีฝรั่งสอนแบบนี้เลย สอนให้หาแต่ความรวย สอนให้ผมแสวงหากำไรอย่างเดียว แต่ไม่เคยบอกว่า ความร่ำรวย ความมั่งคั่งนั้นต้องนำไปสู่ความสุข แต่พระองค์ทรงใช้คำสั้น ๆ ว่า ประโยชน์สุข เห็นไหมครับ 60 ปีมาแล้ว ทุกคนยังจำได้ แล้วประโยชน์สุขนั้น ต้องตั้งอยู่บนความพอดี เมื่อกี้ตอนเที่ยงคุณกินอะไรมากเกินไป อิ่มเกินไปหรือเปล่า แล้วมานั่งอึดอัดไหม ในทางกลับกันถ้าคุณไม่ได้กินอะไรเลย หรือกินน้อยไป พอหิวก็มานั่งฟัง ท้องร้องจ้อกจ้อก ก็แย่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งร่างกาย จิตใจ ถ้ารักษาความพอดีไว้ได้ ก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข

คำ 3 คำของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เพราะฉะนั้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมา ขอให้จำคำ 3 คำไว้ โดยรับสั่งบอกว่า ทำอะไรให้พอประมาณได้ไหม ทำอะไรใช้เหตุใช้ผลได้ไหม ทำอะไรให้มีภูมิคุ้มกันได้ไหม นี่คือคำกุญแจ (key word) 3 คำ คือ “พอประมาณ มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกัน”

สำหรับพอประมาณของผมก็คือ รู้ว่าก่อนจะทำอะไรต่าง ๆ นี้ ผมจะประมาณตนก่อน คือทำอะไรอย่าให้เกินพละกำลังของเรา ทำอะไรให้มันพอดี อย่าเลยเถิด มีพละกำลังอย่าเที่ยวไปแบกอะไรที่มันหนักเกินไป แบกไม่ไหวหรอก เดี๋ยวมันล้มทับเอา

ถ้าจะซื้อของใหญ่ ๆ สักชิ้น ผมจะดูว่า เดือนหนึ่งผมมีรายรับเท่าไหร่ ได้เกษียณ บำนาญเท่าไหร่ ผมก็ประมาณตนให้สอดคล้องพอสมควรกับตัวผม ที่นี้เงินของแต่ละคนไม่เท่ากัน มีหลายครั้งที่ผมขับรถสปอร์ตไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คนเห็นเข้าก็ต่อว่า อาจารย์มาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทำไมอาจารย์กลับขับรถสปอร์ต ผมตอบว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละ เศรษฐกิจพอเพียงนั้น สำหรับทุกคน จะเป็นหมอ เป็นข้าราชการ เป็นนักธุรกิจ ก็ใช้เศรษฐกิจพอเพียงได้ทั้งนั้น ถึงใช้เศรษฐกิจพอเพียง แต่กิเลสตัณหา ผมยังมีอยู่ แต่ผมควบคุมรักษามันไว้ในเขตของความพอดี ใครที่คุยว่าตัดกิเลสตัณหาได้ ขอดูหน้าหน่อย ไม่มีหรอก พระบางรูปยังดับกิเลสไม่ได้เลย

เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา พระท่านนิมนต์ผมไปเทศน์ ผมก็เลยเทศน์พระเข้าให้ บอกว่าท่านยังมีกิเลส โบสถ์ควรจะสร้างเท่านี้ แต่ท่านไปสร้างราคาเป็นพันล้าน นึกอยากจะทำโน่นทำนี่ กิเลสทั้งนั้นนะ

คนเราถ้าเกิดความอยากแล้วจะเกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องรักษาความพอดี เอาแค่พอประมาณ ถ้าผมอยากจะขับรถสปอร์ตสักคันหนึ่ง ผมควรจะซื้อในราคาสักเท่าไหร่ มีคนพูดว่าระดับ ดร.สุเมธ ต้องขับเฟอร์ร่ารี่ ผมชอบอยู่เหมือนกัน พอถามว่าราคาเท่าไหร่ ราคาต่ำสุดก็ประมาณ 24 ล้านบาท ผมบอกไม่ไหว มันเกินพอ ถามว่ามีเงินไหม ตอบว่ามีแต่ต้องขายไร่ขายนาที่เพชรบุรีจนหมด

ถ้าถึงขั้นขายบ้าน ขายที่ เพื่อเอาเงินมาซื้อรถ นั่นมันเกินไปแล้ว งั้นมีรถมือสอง second hand ราคา 4 ล้านเอาไหม ไม่เอา เกินพอ ถามว่ามีเงินไหม ก็บอกว่ามี แต่ไม่สมควร เพราะคำที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คือ มีเหตุมีผล เผอิญมีคน ๆ หนึ่งเอารถสปอร์ตมาขาย อายุ 10 ปีแล้ว แต่เจ้าของใช้ไปแค่ 8,000 กิโล สภาพรถยังใหม่เอี่ยมเลย มาขายผมราคาห้าแสนบาท เปิดเก๊ะดู เงินออมเรามี ไม่สะเทือน พอซื้อได้ ราคาเท่ากับราคารถแจ๊สของฮอนด้า แม้กระทั่งคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ก็ถือว่าคุ้ม เบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถขายต่อได้โดยไม่ขาดทุนเลย

ตกลงผมก็ซื้อ วันไปรับรถยังมีลังแถมมาให้ลังเบ้อเร่อ คนขายบอกว่าในลังนี้คือเครื่องเก่า แต่เครื่องที่ติดอยู่ในรถคือเครื่องรถแข่ง กลายเป็นว่าจ่ายห้าแสนได้รถแข่งมาคันหนึ่ง ถือว่าพอเพียง ไม่เดือดร้อน แถมยังได้ของดี ที่คุ้มค่าอีก ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ให้คุณมารัดเข็มขัด ใส่เสื้อม่อฮ่อม อาบน้ำแค่ 3 ขัน ไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไรถึงขนาดนั้น แต่ให้รักษาความพอดีเอาไว้ ไม่ใช่มีเงินอยู่ห้าแสน แต่ทะลึ่งไปดาวน์รถถึงสองแสนแล้วผ่อนส่งอีกสัก 10 ปี แบบนี้อย่าทำ

นั่นคือพอประมาณ แล้วใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิต แล้วก็ต้องมีความระมัดระวังด้วยเพราะพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดี เดี๋ยวนี้ศัพท์สมัยใหม่เขาเรียกว่า risk management คือการบริหารความเสี่ยง อย่าเสี่ยง อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง

สมัยที่รับราชการผมจำได้ อยากได้อะไรก็ไปกู้สหกรณ์ มีใครทำอย่างนี้บ้างรึเปล่าผมไม่รู้นะ บางคนจึงเป็นหนี้ไปจนกระทั่งเกษียณ ผมเคยเป็นประธานสหกรณ์ บางคนมากู้ ผมถามว่ากู้ทำไม เขาบอกว่ากู้ไปขยายบ้าน ถามว่าทำไมไม่พออยู่เหรอ เขาบอกว่า พออยู่ ก็ชักงงแล้วนะตอนนี้ แล้วขยายอีกทำไม เขาบอกว่า แหม มันไม่โอ่โถง ถามจริง ๆ ถามพวกเราในห้องนี้ก็ได้ วัน ๆ หนึ่งอยู่บ้านกี่ชั่วโมง ตื่นเช้าก็รีบออกกันไปแล้วใช่ไหม เย็นก็กลับมาค่ำมืด แล้วยังขยายบ้านไปทำไม

ขนาดบ้านหลังเดิมเรายังอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง บางทีบ้านทั้งหลังทุบทิ้งให้หมดเหลือห้องนอนไว้ห้องเดียวก็พอแล้ว เป็นห้องเดียวที่ได้ใช้จริงๆ ใช่รึเปล่า เท่านั้นยังไม่พอนะ ยังขนขยะเข้าบ้านทุกวันเลย ซื้อโน่นซื้อนี่มาตั้ง ถามว่าตั้งทำไม แจกันอะไรก็ไม่รู้ ตั้งทำไม วางไว้พอแตกก็เสียดาย ทุกข์อีก ใช่ไหม

บางคนไปซื้อ ของมาตั้งไว้โชว์ เพื่อให้คนที่มาเยี่ยมจะได้ทราบว่ารวยแล้ว คือปล่อยให้ความรวยมาคุมเรา มาเป็นนายเรา ดื่มไวน์ต้องขวดละหมื่น กินอาหารคำละแปดร้อยก็มี เขาบอกว่ากินเข้าไปแล้วมันจะละลายในปากเลย แต่ไม่ได้ถามต่อว่าละลายไปไหน ไปเกาะกันตามเส้นเลือดหรือเปล่า !

สุขภาพจิตดีที่สุด เมื่อตอนที่บวช

เรื่องนี้ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วทั้งนั้น พูดได้เต็มปากว่าสุขภาพจิตกับสุขภาพกายของผมดีที่สุด ก็คือเมื่อตอนที่ผมจนที่สุด หลายคนทำหน้าตื่น ๆ ว่า เอ๊ะ ผมเคยจนด้วยเหรอ ไม่ต้องทำหน้างง เดี๋ยวนึกว่าผมไปอยู่สลัมอะไร ไม่ใช่นะ ตอนที่ผมบวชเป็นพระ ผมเปรียบเปรยว่าเหมือนเป็นช่วงที่ผมจนที่สุด ผมบวชมา 4 หนแล้ว อายุ 65 ผมก็ยังไปบวช 2 ครั้งหลังสุดนี่บวชเป็นพระป่า เข้าไปอยู่กลางป่าคนเดียวเลย มีผ้าอยู่ 4 ผืน มีบาตรอยู่ใบหนึ่ง มีกาน้ำ มีบ้านหลังย่อม ๆ ขนาด 2 เมตรคูณ 3 เมตร ทำให้กวาดบ้านสะดวก เพราะกวาดแค่ 4 ทีก็เสร็จแล้ว ทำให้สุขสบาย ตื่นเช้าก็ไป morning walk ทุกวัน เพราะถ้าไม่ morning walk ก็ไม่ได้กิน คือออกบิณฑบาต เดินครั้งละ 3 กิโล

ครั้งล่าสุดไปสกลนคร เดินฝ่าป่าไป ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย ปกติถ้าอยู่ในเมือง ตื่นเช้ามาผมต้องพ่นยาแพ้อากาศ แต่พอไปอยู่ในป่ากลับไม่เคยพ่นเลย ตื่นเช้ามาโล่งไปหมด เดิน 3 กิโลเหงื่อซึม รับบาตรเสร็จ เดินกลับอีก 3 กิโล เป็นภาคบังคับทุกวัน ตอนก่อนไปบวชใส่รองเท้าบัลลี่ คู่ละแปดพัน ตอนบวชเขาห้ามใส่รองเท้า ให้เดินเท้าเปล่า เดิน 3 วันแรกจากที่เคยใส่บัลลี่เท้าก็บรรลัยไปหมด เลือดโชกกลับมาทุกวัน เพราะเดินเหยียบโน่นเหยียบนี่ กลับมาถึงวัดเปิดบาตรดูว่ามีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียวอีสาน แข็งโป๊กเลย เป็นข้าวเหนียวธรรมชาติจริง ๆ ไม่มีกะทิไม่มีอะไร มีปลาปิ้งอยู่สองสามตัว มีสลัดไหม พูดโก้ ๆ ก็ว่ามีครับ แต่เป็นผักหวาน ผักติ้ว ผักกูด ที่ชาวบ้านเด็ดมาให้จากริมทาง แต่ปลอดสารพิษนะไม่มีมลพิษ มีแจ่วห่อใบตองเพิ่มรสชาติ มีกล้วยใส่มา 3 ใบ เป็นของหวาน กว่าจะกินหมดก็ปวดกรามทั้งกราม เพราะเป็นกล้วยป่าเมล็ดเต็มไปหมด ถือว่าบริหารกรามไปด้วย

ช่วงบวชน้ำหนักผมลดฮวบ ๆ 7 วันลดไปประมาณ 8 กิโล แต่พอวันที่ 8 ก็หยุด น้ำหนักเริ่มคงที่ตลอด หลังสึก ผมกลับมาใช้ชีวิตในสังคมเมืองตามเดิม เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นโรคสังคมครบถ้วน ทั้งคอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ตื่นเช้ายังต้องกินยาเป็นกำเลย พอไปบวชที่นั่นหมอที่สกลนครมาหา บอกว่าขอตรวจเลือดอาจารย์หน่อย เพราะถูกสั่งมาให้คอยดูแล พอตรวจเสร็จ รุ่งขึ้นผลเลือดออกมา เขายังไม่ให้ดูผลหรอก หมอเขาถามว่าอาจารย์กินยาอะไรบ้าง ก็บอกว่ายานี่ (ยื่นมือให้ดูยาในกำมือ) บอกว่านี่เป็น c 11 ก็กินยา 11 เม็ด หมอเขาบอกว่าอาจารย์ทิ้งยาไปให้หมด ผลเลือดทุกอย่างเป็นปกติ

เอ๊ะก็แปลกนะ เราอยู่อย่างพอเพียง กินอาหารมื้อเดียว ก็ไม่เหนื่อยเลย กลางวันผมยังปีนเขาขึ้นไปธุดงค์ตามถ้ำ พอเย็นกลับมากวาดวัด แล้ววัดที่นั่นน่ะ เหมือนกวาดภูเขาทั้งลูก เหงื่อออกโทรมกาย ไม่มีทีวี ไม่มีไฟฟ้า ทั้ง ๆ ที่ไฟฟ้าเดินถึงนะ แต่ทางวัดไม่ให้เข้ามา เพราะใช้แสงสว่างธรรมชาติก็พอแล้ว ตกกลางคืนพอมืดแล้ว เขาให้ไปนั่งวิปัสนา กรรมฐาน เป็นความรู้สึกที่สงบ แล้วแปลกนะ เวลาในยามที่เราไม่มีอะไรที่สุด มันกลับมีความสุขที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเท่านั้น มันดีจริง ๆ เพราะทุกวันนี้เราอยู่กันเกินความพอเพียง

ที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งนั้น ถูกต้องแล้ว จะดำเนินธุรกิจหรือบริหารราชการอะไรก็ให้พอเพียง ให้เต็มสติปัญญาของเรา ก็พอแล้ว หย่อนไปก็บริการประชาชนไม่สะดวก เกินไปก็เหนื่อยกันหมด แล้วประสาทก็เครียดไปด้วย เรามีแค่ไหน ทั้งสถานที่ ทั้งคน ทั้งแรง ก็ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ นั่นแหละครับ พอเพียงแล้ว พอเพียงคือเต็มสตีมนะ ใช้เหตุใช้ผล และระวังอนาคตเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ปูนซีเมนต์ไทยก็ใช้เศรษฐกิจพอเพียง

ตัวอย่างเช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ใช้แนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง ก็เลยรอด สมัยก่อนมีบริษัทย่อย ประมาณ 200 บริษัท พอเกิดวิกฤติในปี พ.ศ.2540 ก็ล้มตึง คราวนี้ใช้เหตุใช้ผลกลับมาแล้ว จากเดิมนั้นใช้ความโลภดำเนินการ บริษัทปูนซีเมนต์ไม่ใช่ทำปูนอย่างเดียวนะ ทำหมดทุกอย่างเลย พอได้สติ ล้มตึงลง ขาดทุนไปประมาณสองหมื่นล้าน วันหนึ่งเขาเชิญผมไปนั่งเป็นกรรมการ ในช่วงที่บริษัทเจอวิกฤตพอดี เบี้ยประชุมถูกลดเหลือครึ่งหนึ่ง โบนัสก็ไม่มี

พอเข้าไปก็ประเดิมเลย พวกเราบอกให้ตั้งสติ แล้วก็มานั่งวิเคราะห์ด้วยกัน ด้วยเหตุด้วยผลว่าเราเก่งตรงไหน พบว่าเราถนัดเรื่องการก่อสร้าง ดังนั้นกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างต้องเก็บเอาไว้ และเตรียมคนบริหารไว้หมด 3 ชั้นเลย คนนี้เกษียณ คนโน้นจะมาต่อ ก็ส่งไปฝึกปรือกันไว้ก่อน ที่ Harvard หรือ Wharton ต้องฝึกไว้ เตรียมคนบริหารไว้หมด ทั้งคนและวัตถุดิบ ด้านปิโตรเคมีเห็นว่ามีอนาคต ก็เก็บไว้ เตรียมไว้หมดทั้งคนและวัตถุดิบเช่นกัน ด้านกระดาษก็มีอนาคต แต่วัตถุดิบมีปัญหา ไม่เป็นไรต้นไม้ไม่มี ไปปลูกที่ลาวก็ได้ จึงเก็บบริษัทกระดาษไว้ ส่วนบริษัทย่อยอื่น ๆ ที่เหลือก็ขายทิ้งหมด จาก 200 บริษัท เหลืออยู่ประมาณ 100 บริษัท

อีก 18 เดือนถัดมา เงินสองหมื่นล้านที่ติดลบอยู่หายหมด เรียกว่าคืนทุนได้หมดเลย แปลกไหม เล็กลงแต่ทำไมถึงแข็งแรงขึ้น ก็เพราะว่าพอเพียง คุมได้หมดทุกจุด เห็นไหมว่าความพอเพียงทำให้คุมได้ ทำงานเต็มสมรรถภาพ เต็มสมรรถนะ เมื่อ 2 ปีที่แล้วบริษัทปูนซีเมนต์ไทยทำกำไรได้สูงสุดในรอบ 35 ปี กำไรสูงกว่าตอนก่อนเกิดวิกฤติเสียอีก นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ไปรัดเข็มขัดให้ผอมกระหร่อง แต่จะทำให้รวยอย่างยั่งยืน และทำให้มีความสุข

ความร่ำรวยไม่ใช่ดัชนีชี้วัดความสุข

ผมพูดเรื่องประโยชน์สุขของพระเจ้าอยู่หัวมาสิบกว่าปี ตอนนี้ฝรั่งมังค่าพูดถึงเรื่องความสุขกันหมดเลย เห็นไหม ประเทศไทยของเรานี่ เขาจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 อย่าให้ต่ำลงไปกว่านี้นะ ประเทศที่รวยที่สุดอย่างอเมริกา เป็นไง รวยที่สุดมีอำนาจที่สุด แต่ความสุขอยู่ที่อันดับ 150 จาก 170 ประเทศ จะเอาหรือ

ผมไปนิวยอร์คเมื่อเดือนที่แล้ว ผ่านด่านแต่ละทีแทบจะแก้ผ้าผ่านด่าน เพราะเขากลัวไปหมด กลัวตัวเองจะถูกทำร้าย ชีวิตไม่มีความปลอดภัย เดินตามถนนหนทางสังเกตดูมีกล้องจับภาพไว้หมด เข้าห้องน้ำก็มีกล้องจับ แต่ถ้าคุณอยากสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ไปที่ภูฎานหรือถ้าคุณอยากกินอาหารที่บริสุทธิ์ก็ไปที่ภูฎานเช่นกัน เพราะประเทศเขาไม่นำเข้าเคมีภัณฑ์อะไรทั้งหมด ไม่นำยาฆ่าแมลงเข้า เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ต้องจ่ายเหมาคนละ 250 เหรียญต่อวันเลยนะ เพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นั่น

ทศพิธราชธรรม ธรรมะของผู้บริหาร

เพราะฉะนั้น สุขภาพจิตจะดีผมคิดว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นแน่นอนที่สุด ว่าจะช่วยชี้ทางแห่งความสุข ให้กับทุกคน แล้วความสุขนี้ไม่ใช่ทำให้คุณรวย ไม่ใช่นะครับ ความพอดีต่างหาก ก็คือพอดีกับตัว ตามอัตภาพ ถ้าคุณพอใจแล้วก็คือจบ ชีวิตผมจริงๆ แล้ว ผมได้เดินตามแนวทางนี้ บางครั้งคุณอาจเห็นผมแต่งตัวโก้นะ บางครั้งผมก็ใส่มอฮ่อมลากแตะ คือไม่ได้ตั้งโจทย์ให้กับชีวิต ยังไงก็ได้ ชีวิตเราอย่าไปตั้งเงื่อนไข แล้วให้ระมัดระวังว่า อย่าไปก่อกรรมทำชั่ว ขอให้รักษาทศพิธราชธรรมเอาไว้ ทศพิศราชธรรมไม่ใช่ธรรมะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น แต่เป็นธรรมะของผู้บริหารด้วย

ทศพิศราชธรรมมีกี่ข้อ 10 ข้อ เก่งมากเลย มีอะไรบ้าง? ทาน ทานเสร็จแล้วอะไร ? ได้ข้อเดียว เห็นไหม เรารู้ แต่ไม่รู้ทั้งหมด จึงไม่รู้ว่าจะพูดต่อได้อย่างไร เสร็จแล้วเราจะให้คนอื่นมีธรรมาภิบาลได้อย่างไร ทนํ คือให้โดยไม่หวังผลประโยชน์ ให้ทุกวัน ต่อไป คือ สีลํ ศีล 5 เท่านั้นแหละ อย่าฆ่า อย่าขโมย อย่าโกหก อย่าละเมิดลูกเมียเขา อย่าใช้ยาเสพติด แล้วพวกเรานั่งอยู่ในห้องนี้ก็ไม่อยากให้ใครเขาทำกับเราสักข้อหนึ่งใช่ไหม แล้วไปทำกับคนอื่นเขาทำไม คำถัดไปคือ ปริจฺจาคํ ให้ประโยชน์เล็ก ๆ เพื่อประโยชน์ที่ใหญ่กว่า บริจาคห้าบาทสิบบาท ได้โรงพยาบาล บริจาคห้าบาทสิบบาทได้โรงเรียนหลังเบ้อเร่อ บริจาคที่เล็ก ๆ แต่ได้ประโยชน์ที่มากกว่า คำถัดไป อาชชวํ คือซื่อสัตย์สุจริต กินไม่หมดหรอกซื่อสัตย์สุจริต อย่าลืมนะ พระเจ้าอยู่หัวแช่งไว้แล้วนะ ใครทุจริตแม้นิดเดียว ขอให้มีอันเป็นไป รับสั่งถึง 3 ครั้ง 3 ครา ให้สังวรไว้ว่า ใครทุจริตนั้น ทุจริตต่อหน้าพระพักตร์ ทุกครั้ง เวลารับเงิน ข้างบนนั้นมีอะไร ดูจ้องเขม็งมาทุกใบนั่นแหละ คราวนี้ดูเฉย ๆ ไม่ใช่นะ นับใบหนึ่งมีอันเป็นไป นับอีกใบมีอันเป็นไป นับหมดปึกเมื่อไรก็เรียบร้อย ระวังไว้ ต่อไป มททวํ ความสุภาพอ่อนโยน เห็นไหม พระองค์ท่านอยู่สูงสุด เวลาจะรับสั่งกับใครทรงโน้มพระวรกายลงมา บางครั้งก็ทรงคุกเข่าหรือประทับพับเพียบอยู่กับประชาชน ดังนั้นพวกเราที่เป็นใหญ่เป็นโต อย่าวางก้าม ไม่ใหญ่จริงหรอก จำไว้เลยนะ ยิ่งใหญ่เท่าไรจะต้องนอบน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อยเท่านั้น อกฺโกธํ ก็คือไม่โกรธ มีอะไรก็เมินเสีย อย่าไปใส่ใจ ถ้าโกรธแล้วเราเสียเปรียบ เสียสุขภาพจิตทันที ใครโกรธเมื่อไร น็อคเลย อย่าโกรธใคร ให้เฉยนิ่งไว้ อย่ารับแบ่งเข้ามาใส่ตัว อะวิหิสา คือความไม่เบียดเบียน จากนั้นคือ ขนฺติ ทำอะไรให้มีความอดทน คำสุดท้าย ยอดเยี่ยมที่สุด อวิโรธนํ ไม่ยอมทำผิด ทั้งตัวบทกฎหมายและทำนองคลองธรรม ไม่จำเป็นต้องทำผิดกฎหมาย แม้แต่ผิดกฎประเพณีก็ไม่ยอม ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ ให้ยึดแค่ 10 ข้อนี้ ผมว่าชีวิตเรา สุขภาพจิตเราจะมีความสุขแน่นอน ถ้าไม่ไขว่คว้า ทุกสิ่งทุกอย่างของคนเรามีไม่เหมือนกันหรอก อย่าไปแข่งอะไรกับเขา ขอให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่และสิ่งที่เป็นอยู่ หมดเวลาที่เชิญผมมาบรรยายแล้ว ผมเป็นนักบริหารเวลา เพราะฉะนั้นเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


*   บทความนี้เป็นการถอดเทปคำบรรยาย ที่จัดโดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2549
ณ ห้อง ประชุมแสงสิงแก้ว โรงพยาบาลศรีธัญญา อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

**   กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300