อะบาเม็คติน
(abamectin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรและแมลงที่ประกอบด้วยสาร macrocyclic lactone glycoside ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการหมัก (fermentation) ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 10 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการระคายเคืองได้เล็กน้อย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ ไรสนิม ไรแดงและไรอื่น ๆ ด้วงมันฝรั่ง มดคันไฟ และแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ฝ้าย มันฝรั่ง พืชผักและไม้ผล ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 1.8% อีซี
อัตราการใช้ กำจัดแมลงศัตรูผักใช้อัตรา 20 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
กำจัดแมลงศัตรูส้ม ใช้อัตรา 10 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
กำจัดแมลงศัตรูพืชอื่น ๆให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากฉลาก
วิธีใช้ ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อตรวจพบว่ามีศัตรูพืช ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ จะมีอาการม่านตาหรี่ หายใจไม่ออก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ในรายที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจเซื่องซึม กล้ามเนื้อกระตุกและเกิดอาการชัก
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาด จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าปากให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1-2 แก้วทันทีและรีบทำให้อาเจียนด้วยการล้วงคอ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ห้ามทำให้อาเจียนหรือให้สิ่งของทางปาก รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ สำหรับแพทย์ไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาตามอาการที่ปรากฏ หากผู้ป่วยกินวัตถุมีพิษเข้าไป ทำให้อาเจียนภายใน 30 นาที หลีกเลี่ยงการให้ยา barbiturates,benzodiazepines, และ valproic acid
ข้อควรรู้ – เป็นพิษต่อปลาและผึ้ง
– เป็นสารที่ได้จากการหมักเชื้อจุลินทรีย์ในดิน ชื่อ Steptomyces avermitilis
– ออกฤทธิ์ได้ช้า ไรจะเคลื่อนไหวไม่ได้ภายหลังจากที่ถูกกับสารนี้
– มีความคงตัวและติดกับใบพืชได้แน่น
อะซีเฟท
(acephate)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออร์กาโนฟอสเฟท ออกฤทธิ์ได้ในทางดูดซึม (systemic) และทางสัมผัส (contact)
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 866-945 มก./กก. ทางผิวหนัง (กระต่าย) มากกว่า 10,250 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนกะหล่ำ หนอนกระทู้หอม หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอ-อเมริกัน หนอนชอนใบ หนอนเจาะผลมะเขือเทศ หนอนเจาะฝักข้าวโพด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว ไรแดงและไรสนิม
พืชที่ใช้ ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลคึ่นใช่(celery) ฝ้าย ข้าวโพด มะเขือเทศ ยาสูบ ส้ม มันฝรั่ง ถั่วแขก ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ไม้ดอก และไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 75% เอส
อัตราการใช้และวิธีใช้ อัตราการใช้แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่จะใช้ โดยทั่วไปจะอยู่ในอัตรา 15-35 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบเห็นว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด
อาการเกิดพิษ ถ้าเข้าตา จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง ม่านตาหรี่และตาพร่ามัว ถ้ากลืนกินเข้าไปหรือสูดดม จะมีผลต่อระบบประสาท มีน้ำลายและน้ำมูกออกมาก เหงื่อออก เป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน น้ำตาไหล มีอาการสั่นและชัก หากคนไข้รับพิษเข้าไปในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงและถึงตายได้
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษเนื่องจากกินเข้าไป รีบทำให้คนไข้อาเจียนโดยให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น (เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว) ถ้าสัมผัสผิวหนัง ให้รีบล้างด้วยสบู่กับน้ำจำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ ยาแก้พิษคือ อะโทรปินซัลเฟท (atropine sulphate) โดยฉีดแบบ IV ขนาด 2 มก.และให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 3-8 นาที จนเกิดอาการ atropinization อาจให้ยาได้ถึง 12 ครั้งภายใน 2 ชั่วโมง สำหรับยา 2-PAM สามารถให้ร่วมกับอะโทรปินซัลเฟทได้
ข้อควรรู้ – สารออกฤทธิ์อยู่ได้นาน 10-15 วัน
– รายละเอียดในการใช้อย่างอื่น ควรดูจากฉลาก
– ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว สำหรับพืชผัก 14 วัน ฝ้ายให้ใช้ก่อน 21 วัน
ออลดิคาร์บ
(aldicarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ไรและไส้เดือนฝอย คาร์บาเมท(carbamate) ออกฤทธิ์ในทางดูดซึม และเป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 0.9 มก./กก. ชนิด 10 % จี
มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 7.0 มก./กก. ทางผิวหนัง 2,100-3,970 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาวมวนต่างๆ ไรแดง แมลงเต่าทอง หนอนม้วนใบและไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ ฝ้าย อ้อย มะเขือเทศในระยะเริ่มปลูก ถั่วลิสง ส้ม ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง กาแฟและไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ
สูตรผสม 10 % จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดพืชและวิธีใช้ ควรศึกษาจากฉลากที่ติดข้างภาชนะบรรจุให้ละเอียดก่อนใช้
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน ตื่นเต้น ตาพร่า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นหน้าอก เหงื่อออกมาก ม่านตาหรี่ น้ำตาและน้ำลายไหล หายใจถี่ ลมหายใจจะค่อย ๆ อ่อนลง กล้ามเนื้อกระตุก ชักและหมดสติในที่สุด
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษที่ผิวหนังให้รีบล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนานประมาณ 15 นาที ถ้ากลืนกินเข้าไป อย่าทำให้อาเจียน ให้คนไข้รับประทานแอ็คติเวทเต็ด ชาร์โคล (activated charcoal) 2-4 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำ 1 แก้ว แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์
ข้อควรระวัง – ถ้าต้องการปลูกพืชอาหารอย่างอื่นที่นอกเหนือจากคำแนะนำในฉลากบนพื้นที่ที่ได้ใช้สารกำจัดแมลงชนิดนี้แล้ว ควรปลูกภายหลังจากใช้แล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์
– ทำให้เกิดอาการระคายเคืองดวงตา ผิวหนัง และระบบหายใจ
– เป็นอันตรายต่อปลา อย่าให้ปนเปื้อนกับน้ำในสระ บ่อ คลอง หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ
– ให้ทำลายภาชนะบรรจุที่ใช้แล้วด้วยวิธีฝังหรือ เผาและอยู่ห่างไกลจากควัน
– อย่านำภาชนะบรรจุที่ใช้หมดแล้วมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม
– เมื่อจะใช้ควรสวมใส่ถุงมือยางและเสื้อแขนยาว
– อย่าผสมออลดิคาร์บ 10 % จี กับน้ำ เพราะจะได้สารละลายที่มีอันตรายสูงมากและอย่าใช้เครื่องมือบด
ออลดริล
(aldrin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง chlorinated hydrocarbon ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส กินตาย และมีพิษทางหายใจ มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) ประมาณ 67 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 200 มก./กก. มีอันตรายในทางสัมผัสที่เนื่องมาจากการใช้สูงมาก
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ มด ปลวก แมงกะชอน จิ้งหรีด
พืชที่ใช้ ในประเทศไทย ห้ามใช้กับพืชทุกชนิด
สูตรผสม 40% ดับบลิวพี และ ชนิดน้ำมัน
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดปลวกและแมลงในดินทั่วไป ใช้อัตรา 800-1,600 กรัม ผสมกับน้ำแล้วราด หรือพ่นให้ทั่วพื้นที่ 1 ไร่
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียและวิงเวียน
การแก้พิษ ถ้าพิษเกิดจากการสัมผัสที่ผิวหนัง ให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไป ควรทำให้อาเจียนโดยเร็ว ด้วยการใช้นิ้วล้วงคอหรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น (เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว) แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที
ข้อควรรู้ ปัจจุบันทางราชการไม่อนุญาตให้นำเข้ามาใช้ทางการเกษตร และถือเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ผู้มีไว้ในครอบครองจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อัลฟาไซเปอร์เมธริน
(alphacypermethrin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารไพรีทรอยด์ที่ใช้กำจัดแมลง ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 79 มก./กก. ทางผิวหนัง มากกว่า 2,000 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังมีอาการระคายเคือง
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ด้วงงวง แมลงเต่าทอง หนอนชอนใบ แมลงวันผลไม้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว เพลี้ยกระโดด หนอนม้วนใบ หนอนเจาะสมอ หนอนกระทู้หนอนคืบ เพลี้ยไฟและแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม กาแฟ ฝ้าย ไม้ดอก ไม้ผล ผัก ข้าว ถั่วเหลือง ชา ยาสูบและพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 10% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตรา 15 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด
อาการเกิดพิษ สำหรับผู้แพ้ ถ้าถูกผิวหนังจะมีอาการแสบร้อน หรือหมดความรู้สึกบริเวณนั้น อาการจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง ถ้าเข้าทางปากจะมีอาการระคายเคืองตามเยื่อบุปาก จมูก ลำคอ ไอ จาม คัดจมูก หายใจขัด ถ้ารับพิษมากจะมีอาการตัวสั่น ชักกะตุก
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนัง ต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ หากเข้าตา ต้องล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง หากกลืนกินเข้าไปห้ามทำให้อาเจียนรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจสะดวก ล้างท้องโดยใช้ endotracheal tube แล้วให้ activated charcoal ตามด้วยโซเดียมซัลเฟททางสายยาง ระงับอาการตัวสั่น ชักกระตุก ด้วยยา diazepam รักษาตามอาการ
ข้อควรรู้ – ใช้กำจัดไรไม่ได้
– เป็นพิษต่อผึ้งและปลา
– ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีฤทธิ์ฆ่าไข่แมลงได้ด้วย
อลูมิเนียมฟอสไฟต์
(aluminium phosphide or phostoxin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารรมควันพิษกำจัดแมลงศัตรูพืชในโรงเก็บ
ความเป็นพิษ เป็นอันตรายถึงชีวิตทันทีเมื่อหายใจเอาอากาศที่มี ไฮโดรเจน ฟอสไฟต์ (hydrogen phosphide) อยู่ 2 ส่วนในล้านส่วนเข้าไปในร่างกาย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และ ตัวแก่ของแมลงศัตรูพืชในโรงเก็บ เช่น ด้วงงวงข้าว มอดข้าวเปลือก มอดแป้งมอดยาสูบ มอดฟันเลื่อย ด้วงงวงข้าวโพด ด้วงถั่วเขียว ด้วงถั่วเหลือง ด้วงกาแฟ ด้วงขาแดง ด้วงหนังสัตว์ ผีเสื้อข้าวเปลือก ผีเสื้อข้าวสารและผีเสื้อข้าวโพด
พืชที่ใช้ เมล็ดธัญพืชทุกชนิด เมล็ดฝ้าย เมล็ดถั่ว เมล็ดดอกไม้ เมล็ดทานตะวัน แป้งต่าง ๆ
สูตรผสม 59% และ 57% (เมล็ดกลมและแบน)
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิดเม็ด ใช้ 6 เม็ดต่อน้ำหนักผลิตผล 1 ตัน ชนิด pellet ใช้ 10 เม็ดต่อน้ำหนักผลิตผล 1 ตัน โดยการหยอดเม็ดยาลงไปในแถวของผลิตผลด้วยมือ หรือถ้าเป็นไซโลอาจใช้เครื่องหยอดเม็ดอัตโนมัติก็ได้
อาการเกิดพิษ ถ้าได้รับแก๊สเข้าไปเพียงเล็กน้อยจะมีอาการอ่อนเพลีย หูอื้อ คลื่นไส้ แน่นหน้าอก กระสับกระส่าย เมื่อได้รับอากาศบริสุทธิ์ อาการเหล่านี้จะหายไป ถ้าได้รับแก๊สมากขึ้น นอกจากแสดงอาการดังกล่าวแล้ว จะมีอาการอาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก เนื้อเขียว ทรงตัวไม่อยู่ โลหิตขาดออกซิเจน หมดสติและตายทันที
การแก้พิษ ให้รีบนำผู้ป่วยไปอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ทันที พร้อมกับให้นอนนิ่ง ๆ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้ยาขับเสมหะและยาแก้ไอ
ข้อควรรู้ – ฟอสต๊อกซินจะปล่อยแก๊ส แอมโมเนียและคาร์บอนได้ อ๊อกไซด์ ออกมาพร้อมกับ hydrogen phosphide
– แก๊ส hydrogen phosphide เป็นแก๊สไวไฟ
– แก๊สนี้กัดกร่อนทองแดงและโลหะอื่นบางชนิด
– ออกฤทธิ์ช้า แมลงจะตายหมดภายใน 2-3 วัน
– เป็นพิษอย่างแรงเมื่อหายใจหรือกลืนกินเข้าไป
– ใส่ถุงมือยางหรือพีวีซี เมื่อจะใช้
– อย่าเปิดภาชนะบรรจุ ยกเว้นเมื่อต้องการใช้ทันที ควรเปิดในที่โล่งแจ้งเท่านั้น
– เก็บห่างไกลจากความชื้น น้ำ และเป็นที่เย็น-แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี ห่างไกลจากไฟและความร้อน
– ก่อนใช้ควรดูบริเวณที่จะใช้ให้แน่ใจว่า ไม่มีคนหรือ สัตว์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
อะมิโนคาร์บ
(aminocarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงที่อยู่ในกลุ่มสารคาร์บาเมทออกฤทธิ์ในทางกินตายและถูกตัวตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 30 มก./กก. ทางผิวหนัง 275 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนผีเสื้อต่าง ๆ และแมลงกัดกินใบ
พืชที่ใช้ ฝ้าย ยาสูบ ไม้ผล และไม้ประดับ
สูตรผสม 50% และ 75% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้ฉีดพ่นเมื่อพบเห็นแมลงครั้งแรก ให้ทั่วต้นพืช ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
การแก้พิษ ใช้ยา อาโทรปินซัลเฟท
ข้อควรรู้ – เป็นอันตรายต่อผึ้ง
อะมิทราช
(amitraz)
การออกฤทธิ์ เป็นสาร formamidine ที่ออกฤทธิ์กำจัดได้ทั้งไรและแมลง ไม่ออกฤทธิ์ในทางดูดซึม กำจัดไรได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 800 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 1,600 มก./กก. มีพิษกับผึ้งน้อยมาก
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรแมงมุมแดงและไรอื่น ๆ เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาวฝ้าย เพลี้ยหอย หนอนม้วนใบ ไข่ และหนอนผีเสื้อระยะแรก ตัวเบียฬภายนอกของสัตว์เลี้ยง รวมทั้งเห็บ เหาและไร
พืชที่ใช้ ส้ม สวนผลไม้ ไม้ดอก-ไม้ประดับ สตรอเบอร์รี่ ฝ้าย และพืชตระกูลแตง
สัตว์ที่ใช้ วัว ควาย หมู แกะ แพะและสุนัข
สูตรผสม 20% และ 12.5% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 20% อีซี ใช้ 80 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบเห็นว่า มีแมลงศัตรูพืชรบกวน สำหรับสัตว์ ใช้ได้ทั้งแบบพ่นบนตัวสัตว์และแบบจุ่ม โดยให้น้ำยามีความเข้มข้น 0.025-0.05% สารออกฤทธิ์
การแก้พิษ ถ้ามีอาการเป็นพิษเกิดที่ผิวหนัง ให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ สำหรับยาแก้พิษโดยเฉพาะยังไม่มี รักษาตามอาการที่ปรากฏ
ข้อควรรู้ – เป็นอันตรายต่อปลา
– ไม่เข้ากับสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
– ปลอดภัยต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ทั้งหมด
– จะใช้ได้ผลดีเมื่อสภาพอากาศแห้ง อย่าใช้ ถ้ามีฝน
– มีอันตรายเมื่อถูกผิวหนังและกลืนกินเข้าไป
– ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 2-7 สัปดาห์
อะซาเม็ทธิฟอส
(azamethiphos)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง organophosphate ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 1,180 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการระเคืองเล็กน้อย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไร เห็บ เหา หมัด ยุง แมลงวัน แมงมุม แมงป่องและด้วง
สถานที่ใช้ คอกไก่ และฟาร์มปศุสัตว์
สูตรผสม 50% ดับบลิวพี , 10% ดับบลิวพี , 1% Bait
อัตราการใช้และวิธีใช้ สำหรับสูตร 50% ใช้อัตรา 50 กรัมผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นบนตัวสัตว์หรือบริเวณผนัง หลังคา ทากรงหรือคอกสัตว์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากฉลากก่อนใช้
อาการเกิดพิษ ถ้าเข้าตาจะทำให้ระคายเคืองเล็กน้อย ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ๆ จะทำให้ cholinesterase enzyme ลดต่ำลง ผู้ป่วยอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง หายใจไม่สะดวก ม่านตาหรี่ เหงื่อออกมาก อาการจะทุเลาลงไปได้เองถ้าไม่ได้รับพิษยาเพิ่มขึ้น
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังหรือเข้าตาให้ล้างด้วยน้ำจำนวนมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไป ทำให้คนไข้อาเจียนด้วยการล้างคอ หรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น ๆ แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ สำหรับแพทย์ ยาแก้พิษคือ atropine sulfate รักษาตามอาการ
ข้อควรรู้ อาจผสมกับสารกำจัดศัตรูพืชอย่างอื่นได้ในขณะที่จะฉีดพ่น
อะซินฟอส-เอ็ทธิล
(azinphos ethyl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออร์กาโนฟอสเฟท ประเภทถูกตัวตายและกินตาย เป็น cholinesterase inhibitor มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน และสามารถกำจัดไข่ได้ด้วย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) ประมาณ 17.5 มก./กก. ทางผิวหนัง ประมาณ 250 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนหลอดหอม หนอนคืบกะหล่ำ หนอนเจาะสมอสีชมพู หนอนชอนใบ หนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจักจั่น ไรแดง ไรสนิม เพลี้ยไฟ มวนเขียว มวนดอกรัก แมลงหวี่ขาว แมลงปีกแข็งและด้วงต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม ฝ้าย องุ่น สตรอเบอร์รี่ มันฝรั่ง ข้าว ไม้ผล ผักต่าง ๆ ยาสูบ กาแฟ และพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 40% อี.ซี.
อัตราการใช้ อัตราการใช้แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับชนิดของพืช โดยทั่วไปจะใช้อยู่ในระหว่าง 15-40 ซีซี. ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรศึกษาจากฉลากให้แน่นอนก่อนใช้
วิธีใช้ ใช้ก่อนที่แมลงศัตรูจะระบาดหรือทำลายพืชผล โดยการฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช ใช้ซ้ำเมื่อจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการ ชีพจรเต้นช้า เหงื่อออกมาก ม่านตาหรี่ เวียนศีรษะ เมื่อยตัว อาเจียน ท้องร่วง ปัสสาวะบ่อยครั้ง ถ้าได้รับพิษมาก ๆ หัวใจจะหยุดเต้นและเสียชีวิต
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังและมีอาการเป็นพิษ ให้รีบล้างด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำที่สะอาดมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไป ให้ผู้ป่วยกินยา อะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
ข้อควรรู้ – เป็นพิษต่อผึ้งและปลา มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน และออกฤทธิ์ได้กว้างขวาง
– ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว สำหรับสตรอเบอร์รี่และองุ่น ใช้ก่อน 5-10 วัน
– ผัก มันฝรั่ง และอื่น ๆ ใช้ก่อน 15-21 วัน
อะซินฟอส-เมทธิน
(azinphos-methyl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงออร์กาโนฟอสเฟท ประเภทถูกตัวตายและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 5-20 มก./กก. ทางผิวหนัง 220 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยจักจั่น แมลงหวี่ขาว มวนต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่ ฝ้าย ผักต่าง ๆ แตงโม แตงกวา ถั่ว ยาสูบ มะเขือเทศ มันฝรั่ง หอม มะเขือ อ้อย ไม้ผล ไม้ดอกและไม้ประดับ
สูตรผสม 40% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ โดยทั่วไปใช้ในอัตรา 15-40 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร (ควรศึกษารายละเอียดก่อนใช้) ใช้ในอัตราที่สม่ำเสมอ ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชอย่างละเอียด และฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการตาพร่ามัว ชีพจรเต้นช้า อ่อนเพลีย วิงเวียนคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดเกร็งในช่องท้อง เหงื่อและน้ำตาออกมาก ปวดปัสสาวะอย่างฉับพลันและมากกว่าปกติ แน่นหน้าอก หายใจขัด กระตุกตามปลายนิ้วมือและเท้า ถ้าได้รับพิษมาก ๆ หัวใจจะหยุดเต้นและตาย
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ ถ้าผู้ป่วยเกิดพิษเนื่องจากกลืนกินเข้าไปและมีอาการดังกล่าวปรากฏให้เห็น ให้ใช้ยาถ่ายพวกซาไลน์ เช่น ดีเกลือ (Epsom salt) พร้อมกับให้กินยาอะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วนำส่งแพทย์ทันที สำหรับยา ท๊อกโซโกนิน (Toxogonin) เป็นยาแก้พิษที่สามารถใช้รักษาร่วมกับอะโทรปินซัลเฟทได้
ข้อควรรู้ – อย่าให้สัตว์กินพืชที่ใช้สารกำจัดแมลงชนิดนี้
– เป็นพิษต่อปลาและสัตว์ปีกสูงมาก มีอันตรายต่อผึ้ง
– ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 5-10 วัน (ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่)
อะโซไซโคลติน
(azocyclotin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารประกอบของ heterocyclic tin ที่ใช้ในการกำจัดไร ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 90 มก./กก. ทางผิวหนังประมาณ 1,000 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังระคายเคือง
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรชนิดต่าง ๆ
พืชที่ใช้ องุ่น ส้ม ไม้ผล และพืชผัก
สูตรผสม 25%-50% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามที่กำหนดบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดี แล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วต้น เมื่อตรวจพบว่ามีไรกำลังทำลายพืช ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ – เป็นพิษต่อปลา ไม่เป็นอันตรายต่อผึ้ง
– กำจัดไรได้ทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวแก่
– มีฤทธิ์ในการกำจัดแมลงอย่างอื่น
– ผสมได้กับสารกำจัดศัตรูพืชอื่น ๆ
บาซิลลัส ธูริงกิเอ็นซิส
(Bacillus thuringiensis)
การออกฤทธิ์ เป็นแบคทีเรีย (bacteria) ชนิดหนึ่งที่ทำให้หนอนและแมลงบางชนิดเป็นโรค และตายในท้ายที่สุด ออกฤทธิ์โดยการทำให้กระเพาะและไส้ของหนอนเป็นอัมพาตและหยุดกินอาหาร
ความเป็นพิษ ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์เลี้ยงและแมลงที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำปลี หนอนหงอนยาสูบ หนอนใยผัก และหนอนผีเสื้ออื่น ๆ
พืชที่ใช้ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่ คื่นฉ่ายและผักอื่น ๆ ฝ้าย พืชตระกูลแตง มะเขือ หอม กระเทียม องุ่น ส้ม ถั่วต่าง ๆ มันฝรั่ง ฟักทอง สตรอเบอร์รี่
สูตรผสม ชนิดดับบลิวพี.เอฟ (F) และชนิดน้ำ (aqueous)
อัตราการใช้ ศึกษาจากฉลากที่ปิดข้างภาชนะบรรจุ จะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของสูตรผสม
วิธีใช้ ใช้เมื่อพบเห็นว่ามีแมลงศัตรูพืชครั้งแรก ให้ใช้ซ้ำทุกอาทิตย์เท่าที่จะจำเป็น โดยการฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่ ควรใช้ในช่วงตอนเย็นขณะที่มีอากาศร้อน – แห้ง
ข้อควรรู้ – สารกำจัดแมลงชนิดนี้ จะมีประสิทธิภาพและออกฤทธิ์ต่อเมื่อหนอนกินเข้าไป หนอนจะไม่ตายทันทีและยังคงเกาะอยู่บนต้นพืช หยุดกินอาหารและจะตายภายใน 2-3 วัน
– อย่าปล่อยให้สารละลายที่ใช้ฉีดพ่นอยู่ในถังนานเกินกว่า 12 ชั่วโมง
– อย่าเก็บไว้ในที่มีความร้อนสูงกว่า 90 องศาฟาเรนไฮ
เบ็นดิโอคาร์บ
(bendiocarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงคาร์บาเมท ที่ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย เป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 40-120 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 1,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว หนอนใยผัก ผีเสื้อมันฝรั่ง มวนต่าง ๆ ตัวอ่อนแมลงเต่าทอง ด้วง ด้วงงวง ไร แมลงสาบ แมลงสามง่าม ปลวก แตน หมัด ยุง ศัตรูพืชอื่น ๆ และศัตรูปศุสัตว์
พืชที่ใช้ มันฝรั่ง กะหล่ำ แตงโม พืชสวนต่าง ๆ ไม้ดอกไม้ประดับ รวมทั้งใช้กำจัดแมลงศัตรูในบ้านเรือน
สูตรผสม 20% , 80% ดับบลิวพี , 10% จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดแมลงทั่วไปใช้ในอัตรา 15-25 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรอ่านรายละเอียดในฉลากเพิ่มเติมก่อนใช้ ใช้เมื่อปรากฏว่ามีแมลงศัตรูพืช โดยฉีดพ่นน้ำยาผสมให้ทั่วต้นพืช ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ มึนงง คลื่นเหียนอาเจียน ตาพร่า น้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก เป็นตะคริว ท้องร่วง ตัวสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับพิษมาก ๆ จะหายใจไม่ค่อยออก ปอดบวม เกิดอาการกระตุกที่ปลายนิ้วมือและเท้า และอาจตายเนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ ถ้าพิษเกิดจากการกลืนกินเข้าไปและมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรให้ยาพวกซาไลน์ เช่น ดีเกลือ (epsom salt) แก่คนไข้ พร้อมกับให้กินยาอะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วนำส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ถ้าคนไข้มีอาการ ได้รับพิษสูงและรุนแรง อาจใช้อะโทรปิน ซัลเฟท ขนาด 1-2 มก. ฉีดแบบ IM ทุก 15 นาที จนกว่าอาการ atropinization จะปรากฏให้เห็น
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวกับพืชอาหาร ทิ้งระยะเก็บอย่างน้อย 14 วัน
– เป็นพิษต่อปลาสูง
– ออกฤทธิ์น๊อคหนอนได้เร็ว และมีฤทธิ์ตกค้างอยู่ได้นานเกือบ 10 อาทิตย์
เบ็นฟูราคาร์บ
(benfuracarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงคาร์บาเมท ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย มีฤทธิ์ในทางดูดซึม โดยผ่านทางรากพืช เป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 138 มก./กก. (สุนัข) 300 มก./กก. ทางผิวหนัง (หนู) มากกว่า 2,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด เพลี้ยกระโดด เพลี้ยอ่อน หนอนกระทู้ หนอนกอ บั่ว เพลี้ยจักจั่น หนอนม้วนใบ หนอนแมลงวัน ด้วง หนอนใบกะหล่ำ เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย และไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ ข้าว อ้อย มันฝรั่ง ถั่วเหลืองข้าวฟ่าง ส้ม ฝ้าย ข้าวโพด ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 20% และ 30% อีซี , 3% G
อัตราการใช้และวิธีใช้ แตกต่างกันออกไปตามพืชที่ใช้ ควรศึกษาให้ละเอียดก่อนใช้ ใช้ผสมน้ำแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบพืช
อาการเกิดพิษ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา เมื่อสัมผัสถูก ถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน น้ำลายไหลฟูมปาก เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อบิดเกร็งกระตุก ตัวสั่นและหายใจลำบาก
การแก้พิษ ในกรณีที่เกิดพิษที่ผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไปให้รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ ให้ดื่มน้ำก่อน 1-2 แก้ว แล้วทำให้อาเจียนด้วยการใช้นิ้วล้วงคอ ถ้าคนไข้หมดสติอย่าทำให้คนไข้อาเจียนหรือให้สิ่งของใด ๆ ทางปากคนไข้ ถ้าหายใจเอาละอองไอเข้าไป ให้ย้ายคนไข้ไปอยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ สำหรับแพทย์ ห้ามใช้ยาพวกอ๊อกไซม์ (oximes) เช่น 2-PAM แต่ให้ใช้อะโทรปินซัลเฟท ขนาด 2 มก. ฉีดเข้าทางเส้นเลือด (IV) หรือฉีดใต้ผิวหนังก็ได้
ข้อควรรู้ – ไม่มีการจำหน่ายในอเมริกา
– เป็นอันตรายต่อปลาสูง อย่าปล่อยให้ปะปนกับน้ำในแม่น้ำลำคลอง
– เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง
เบนซัลแท็พ
(bensultap)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนูตัวผู้) 1,105 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ด้วงมันฝรั่ง หนอนกอข้าว หนอนกระทู้ หนอนใยผัก หนอนชอนใบ ด้วงงวงเจาะสมอ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ข้าว ฝ้าย องุ่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ไม้ผล พืชผักและพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 50% ดับบลิวพี และ 4% จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วทั้งต้นเมื่อตรวจพบว่ามีแมลงศัตรูพืชกำลังทำลายพืชเพาะปลูก ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ – อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองได้
– อย่าผสมกับสารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
– ค่อนข้างจะปลอดภัยต่อปลา
– ไม่เป็น cholinesterase inhibitor
– หนอนที่ถูกตัวยาจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าและหยุดกินอาหารและตายในเวลาต่อมา
– ออกฤทธิ์ได้ช้า
เบ็นโซเมท
(benzomate)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรที่ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและมีฤทธิ์ตกค้าง
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 15,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรชนิดต่าง ๆ ทั้งในระยะที่เป็นไข่และตัวแก่
พืชที่ใช้ ส้ม องุ่น และไม้ผลทั่วไป
สูตรผสม 20% อีจี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วทั้งต้นเมื่อตรวจพบว่ามีไรรบกวนพืชที่ปลูก ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ – ค่อนข้างจะเป็นพิษต่อปลา แต่ไม่เป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยชน์
– อย่าผสมกับ EPN หรือ Bordeaux
– ผสมได้กับสารกำจัดศัตรูพืชอื่น ๆ
ไบเฟนธริน
(bifenthrin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงและไร
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน ทางปาก (หนู) 375 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนชอนใบ หนอนใยผัก หนอนเจาะสมอสีชมพู หนอนเจาะสมอฝ้าย ไรแดง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยไก่ฟ้า แมลงหวี่ขาว
พืชที่ใช้ ส้ม ฝ้าย มะเขือเทศมะเขืออื่นๆ กระถิน
สูตรผสม 10% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ 10-30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร
อาการเกิดพิษ ถ้าถูกผิวหนัง ดวง ตา จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ถ้าสูดดมเขาไปจะมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ ตาพร่า และระบบหายใจระคายเคือง ถ้าได้รับปริมาณมากอาจมีอาการชักกระตุก หมดสติและเสียชีวิต
การแก้พิษ หาก ถูกผิวหนังต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่ หากเข้าตาต้องล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง แล้วไปพบแพทย์ ถ้ากลืนกินเข้าไป ห้ามทำให้อาเจียน รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมด้วยฉลากวัตถุมีพิษ สำหรับแพทย์ ช่วยทำให้ผู้ป่วยหายใจสะดวก โดยการดูแสมหะและให้ออกซิเจน ทำการ้างท้องโดยใช้ endotracheal tube เพื่อป้องกัน chemical pneumonia และตามด้วย activated charcoal และยาถ่ายโซเดียมซัลเฟททางสายยาง หากผู้ป่วยมีอาการชักให้ใช้ยา diazepam 2-5 มก./IV หรือ IM รักษาตามอาการ
ไบนาพาคริล
(binapacryl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรประเภทดูดซึมและมีประสิทธิภาพในการกำจัดโรคราแป้งได้ด้วย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน ทางปาก (หนู) 421 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ตัวเต็มวัยและไข่ของไรชนิดต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ฝ้าย ปอกะเจา ข้าวฟ่าง ถั่ว พริก แตง มะเขือ มะเขือเทศ ชา องุ่น มะม่วง ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 40 % อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำแล้วฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช
อาการเกิดพิษ อาจเกิดขึ้นภายหลังจากรับพิษโดยทางสัมผัส สูดดมหรือกินเข้าไป ทางปากเป็นเวลา 2 วัน โดยในระยะแรกจะมีอาการเป็นไข้ ความร้อนสูง เหนื่อย และไม่มีแรง กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก หายใจลำบาก ในระยะหลังจะมีอาการมึนงง ตัวเขียวคล้ำเพราะขาดออกซิเจน กล้ามเนื้อตามตัวจะสั่นกระตุกและหมดสติ บางรายอาจมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ตับไตเป็นแผล พร้อมกับมีอาการดีซ่านตามมา
การแก้พิษ ถ้าเป็นพิษที่เกิดจากการสัมผัส ให้ ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ หรือจะใช้น้ำยาล้างตาไอโวโทนิคก็ได้ ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปให้ล้างท้องคนไข้ทันทีด้วยการใช้ยาโซเดียมไบ คาร์โบเนท 5% ถ้ายังล้างท้องไม่ได้ต้องทำให้คนไข้อาเจียนด้วยการใช้ยา syrup of IPECAC และถ่ายท้องโดยใช้ยา saline cathartics แล้วรักษาด้วยยา Phenobarbitol หรือรักษาตามอาการ
บีพีเอ็มซี
(BPMC)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง คาร์บาเมท(carbamate) ออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสและถูกตัวตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลันทางปาก (LD 50) (หนู) 410 มก./กก. ทางผิวหนัง 4,200 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก เพลี้ยจักจั่นมะม่วง เพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะสมอฝ้าย
พืชที่ใช้ ข้าว มะม่วง ฝ้าย
สูตรผสม 50% อีซี 2% ฝุ่น และ 4.5% จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 50% อีซี ใช้อัตรา 20-40 ซีซีผสมกับน้ำ 20 ลิตร กวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชเมื่อตรวจพบว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น สำหรับสูตรผสมชนิดอื่นให้ใช้ตามคำแนะนำของฉลาก
อาการเกิดพิษ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตาและเยื่อบุจมูก ถ้าดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน มีน้ำลายมาก เหงื่อออก ม่านตาหด ปวดท้อง ท้องเดิน กล้ามเนื้อบิดเกร็ง พูดและเดินลำบากและมีอาการชัก
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษที่ผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ ถ้าเข้าปาก ห้ามทำให้คนไข้อาเจียน รีบนำส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ รักษาคนไข้ด้วยการฉีดยา อาโทรปินซัลเฟท ขนาด 2 มก. เข้าทางเส้นโลหิต ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจให้ยาได้ถึง 4 มก. แล้วฉีดซ้ำอีก 2 มก. ทุก ๆ 10-15 นาที จนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น ไม่ควรใช้ 2-PAM เพราะจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตัวช้า
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 7-14 วัน
– ปลาจะตายเมื่ออยู่ในน้ำที่มีสารชนิดนี้อยู่ในอัตรา 24-49 ส่วนในล้านส่วน
– ออกฤทธิ์ฆ่าแมลงในทางถูกตัวตาย พิษตกค้างออกฤทธิ์ได้ดี
– เก็บไว้ในที่แห้ง-เย็น ห่างไกลจากอาการคนและสัตว์
โบรโมโปรไพเลท
(bromopropylate)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไร คลอริเนทเต็ด ไฮโดรคาร์บอน ที่มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสหรือถูกตัวตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลันทางปาก (LD 50) (หนู) มากกว่า 5,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรชนิดต่าง ๆ ทั้งหมด
พืชที่ใช้ ส้ม ไม้ผล ฝ้าย ถั่ว แตง มะเขือเทศ ไม้ดอก ไม้ประดับ และพืชทั่วไป
สูตรผสม 25% 50% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้ตามคำแนะนำของฉลาก ใช้ผสมกับน้ำ ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นพืช เมื่อพบเห็นไรเริ่มทำลายพืช ฉีดพ่นซ้ำได้ตามความจำเป็น
การแก้พิษ ไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ รักษาตามอาการ
บูโปรฟีซิน
(buprofezin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารประกอบ thiadizine ที่ใช้กำจัดแมลงโดยออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลันทางปาก (LD 50) (หนู) 2,198 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดด เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย แมลงหวี่ขาว และแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ข้าว ผักต่าง ๆ ไม้ผล และไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 25% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ปฎิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก เมื่อตรวจพบว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด
ข้อควรรู้ – เป็นพิษต่อพืชตระกูลกะหล่ำเล็กน้อย
– ไม่กำจัดแมลงที่อยู่ในระยะเต็มวัยหรือตัวแก่
– ออกฤทธิ์ช้าแต่มีฤทธิ์อยู่ได้นาน
– มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและปลาต่ำ
– ไม่เป็นอันตรายต่อแมลงที่เป็นประโยชน์
บิวโตคาร์บอกซิม
(butocarboxim)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง คาร์บาเมท(carbamate) ประเภทดูดซึมโดยผ่านเข้าไปทางใบและรากพืชออกฤทธิ์ในทางกินตายและถูกตัวตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลันทางปาก (LD 50) (หนู) 158-240 มก./กก. ทางผิวหนัง(กระต่าย) 360 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน ไรต่าง ๆ เพลี้ยไฟ และแมลงปากดูดอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม ฝ้าย และไม้ผล
สูตรผสม 50% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ตามคำแนะนำของฉลาก
การแก้พิษ อาโทรปินซัลเฟท
ข้อควรรู้ – เป็นสารกำจัดแมลงที่ดูดซึมได้ทางรากพืชและสามารถเคลื่อนย้ายในต้นพืชได้
– ผลจะแสดงให้เห็นภายใน 3-7 วัน และให้ผลเต็มที่ใน 7-14 วัน ให้ผลคุ้มกันได้ 4-8 อาทิตย์
คาร์บาริล
(carbaryl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง คาร์บาเมท(carbamate) ออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลันทางปาก (LD 50) (หนูตัวเมีย) 500 มก./กก. (หนูตัวผู้) 850 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 2,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ มวนแดงฝ้าย มวนเขียว ตั๊กแตน หนอนม้วนใบ หนอนคืบ หนอนเจาะสมออเมริกัน หนอนเจาะสมอสีชมพู หนอนกระทู้ ด้วงหมัดผักกาด หนอนกอลาย หนอนกอสีขาว รวมทั้งแมลงศัตรูคนและสัตว์ เช่น แมลงสาบ มด แมลงวัน เห็บสุนัข ตัวสามง่าม หมัด เหา ด้วงงวงข้าว มอดแป้ง และผีเสื้อข้าวเปลือก
พืชที่ใช้ ฝ้าย ส้ม ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่ว ผักต่าง ๆ ข้าว กล้วย มะม่วง ชา มะเขือเทศ ยาสูบ ฟักทอง แตง มันฝรั่ง ไม้ผลทั่วไป ไม้ดอกและไม้ประดับ
สูตรผสม 35% เอฟ 5% ฝุ่น และ 85% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 35% เอฟ ใช้อัตรา 50-100 ซีซีผสมกับน้ำ 20 ลิตร
ชนิด 85% ดับบลิวพีใช้อัตรา 15-55 ซีซีผสมกับน้ำ 20 ลิตร เมื่อตรวจพบว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น สำหรับสูตรผสมชนิดอื่นให้ใช้ตามคำแนะนำของฉลาก
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน ตาพร่า น้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก เป็นตะคริว ท้องร่วงตัวสั่นและกล้ามเนื้อกระตุก
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษที่ผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ ถ้าเข้าปากต้องทำให้คนไข้อาเจียนโดยเร็ว โดยการใช้นิ้วล้องคอหรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น ๆ แล้วให้ผู้ป่วยกินยา อาโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/2 เกรน 2 เม็ด แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว ผลไม้ 7 วัน , ผัก 14 วัน
– ห้ามผสมกับปูนขาว lime sulfer และ Bordeaux และสารที่มีสภาพเป็นด่าง
– กำจัดไรไม่ได้
– เป็นพิษต่อผึ้งและแมลงอื่น ๆ ที่ช่วยในการผสมเกสร อย่าใช้ในช่วงที่ต้นไม้ออกดอก
– ความเป็นพิษจะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น
– อายุการควบคุมศัตรูพืชอยู่ได้ประมาณ 1-3 อาทิตย์
– ห้ามใช้กับต้นมะเขือเทศขณะยังเล็กอยู่
คาร์โบฟูแรน
(carbofuran)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงและไส้เดือนฝอย คาร์บาเมท(carbamate) ประเภทดูดซึม และออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสและกินตาย cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก(หนู) 11 มก./กก. ทางผิวหนัง(กระต่าย) 10,200 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยไฟ หนอนม้วนใบข้าว หนอนกระทู้ควายพระอินทร์ หนอนกอลาย หนอนเจาะสมอ หนอนกอสีชมพู หนอนกอสีครีม ด้วงดีด และไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ ฝ้าย ข้าว ยาสูบ ถั่วลิสง มันฝรั่ง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย ส้ม ถั่วเหลือง กล้วย กาแฟ ฟักทอง แตง องุ่น ผักต่าง ๆ
สูตรผสม 3% 5% จี 20% เอฟ และ 35% เอสที
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 3% จี กำจัดศัตรูข้าว ใช้ 3-5 กก.ต่อไร่ ฝ้ายใช้ 5-8 กก.ต่อไร่ ถั่วลิสงใช้ 5 กก.ต่อไร่ ผักใช้ 5-15 กก.ต่อไร่ อ้อยใช้ 2.5-7.5 กก.ต่อไร่ มันฝรั่ง ใช้ 5-10 กก.ต่อไร่ ยาสูบใช้ 5-7.5 กก.ต่อไร่
ใช้หว่านลงในร่องปลูก สำหรับสูตรผสมชนิดอื่นให้ใช้ตามคำแนะนำของฉลาก
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการวิงเวียนและปวดศีรษะ อ่อนเพลีย น้ำลายไหล เหงื่อออกมาก ปวดที่ช่องท้อง ท้องร่วง อาเจียน และหายใจติดขัด
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษที่ผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้า เข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไปต้องทำให้คนไข้อาเจียนโดยเร็ว โดยการใช้นิ้วล้องคอหรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น ๆ แล้วให้ผู้ป่วยกินยา อาโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/1000 เกรน 2 เม็ด แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที ในรายที่มีอาการรุนแรงให้ยาอาโทรปินซัลเฟท ขนาด 2-4 มก. ฉีดเข้าทางเส้นโลหิต ได้ถึง 4 มก. แล้วฉีดซ้ำอีก 2 มก. ทุก ๆ 10-15 นาที จนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แล้วรักษาตามอาการต่อไป
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 6 สัปดาห์
– ห้ามผสมกับปูนขาว lime sulfer และ Bordeaux และสารที่มีสภาพเป็นด่าง
– วิธีใช้ อัตราส่วนและเวลาการใช้แตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของพืช ควรศึกษารายละเอียดก่อนใช้ทุกครั้ง
– เป็นพิษต่อผึ้งและปลา
– ประสิทธิภาพจะลดน้อยลงถ้าสภาพดินแห้ง
– ห้ามใช้คาร์โบฟูแรนภายใน 21 วัน ในนาข้าวที่กำจัดวัชพืชด้วยโปรพานิลหรือจะใช้ โปรพานิลภายหลังการใช้
– ใช้กับต้นหอมที่เจตนาเพื่อเก็บหัวแก่เท่านั้น
คาร์โบฟีโนไธออน
(carbofenothion)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงและไร ออร์กาโนฟอสเฟท ประเภทไม่ดูดซึม ออกฤทธิ์เมื่อสัมผัสถูกและกินตาย cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก(หนู) 6.8-36.9 มก./กก. ทางผิวหนัง 1,270 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ไรต่าง ๆ หนอนกัดรากข้าวโพด และศัตรู ปศุสัตว์ เช่น เห็บ เหา ไร แมลงวัน และแมลงศัตรูภายนอกอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ถั่ว ฝ้าย แตง องุ่น ข้าว ชา ส้ม มันฝรั่ง ข้าวโพด มะเขือ หอม ข้าวฟ่าง สตอเบอรี่ มะเขือเทศ ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 47.9 % อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดแมลงทั่วไป ใช้อัตรา 10-20 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรศึกษารายละเอียดการใช้จากฉลากเพิ่มเติมก่อนใช้ ผสมกับน้ำแล้วฉีดให้ทั่วต้นพืช ใช้ซ้ำตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการวิงเวียนและปวดศีรษะ ตื่นเต้น ตกใจง่าย ตาพร่า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน น้ำมูกและน้ำตาไหล ผิวหนังเป็นตุ่ม กล้ามเนื้อกระตุกและไม่มีความรู้สึกทางสัมผัส
การแก้พิษ ถ้า ถูกผิวหนังหรือเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ หลายครั้ง ถ้ากลืนกินเข้าไปต้องทำให้คนไข้อาเจียนโดยการใช้นิ้วล้องคอหรือให้ดื่มน้ำ เกลืออุ่น ๆ หลังอาเจียนแล้วให้คนไข้กินถ่านยา เพื่อช่วยดูดซับพิษที่หลงเหลือตกค้างอยู่ในกระเพาะ หรือให้คนไข้กินไข่สด ก็จะช่วยให้คนไข้หายเร็วขึ้น อย่าให้คนไข้กินยานอนหลับหรือยาแก้ปวดใด ๆ เพราะจะทำให้มีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น ยากที่แก้พิษคือ อาโทรปินซัลเฟท ให้ขนาด 2-4 มก.ฉีดแบบ 1V และฉีดซ้ำทุก 5-10 นาที จนเกิดอาการ atropinization
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 7-21 วัน
– ให้พิษตกค้างยาวนาน
– เป็นพิษเมื่อถูกผิวหนังและหายใจเข้าไป
– เป็นพิษต่อผึ้งและปลา
– ไวไฟ
คาร์โบซัลแฟน
(carbosulfan)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงคาร์บาเมท(carbamate)ประเภทดูดซึม ออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสถูกและกินตาย cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก(หนูตัวผู้) 209 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย แมลงหวี่ขาว หนอนกอแถบลาย หนอนกอสีชมพู หนอนเจาะเถามันเทศ หนอนเจาะยอดและเจาะผล ด้วงงวงมันเทศ หนอนกัดรากข้าวโพด มวนและไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ อ้อย ข้าว แตงโม มันเทศ มะเขือยาว มะเขือเปราะ พริก ฝ้าย ไม้ผล ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ส้ม พืชผักและพืชไร่อื่น ๆ
สูตรผสม 20% อีซี และ 25% เอสที
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดแมลงทั่วไปใช้อัตรา 40-80 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรศึกษารายละเอียดการใช้จากฉลากเพิ่มเติมก่อนใช้ ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย น้ำลายไหล เหงื่อออกมาก ตาพร่า คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อสั่นกระตุก หน้าท้องเกร็ง ท้องเสียและหายใจขัด
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้า เข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปอย่าทำให้คนไข้อาเจียน เพราะจะเป็นการทำลายระบบหายใจ สำหรับแพทย์ ในกรณีเข้าตาให้หยอดตาคนไข้ด้วย โฮมาโทรปิน(Homatropine) ในรายที่มีอาการแพ้พิษ ให้ฉีดด้วยอะโทรปิน 2 มก. เข้าทาง IV หรือ SC แล้วฉีดซ้ำทุก 10-15 นาที จนผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้วรักษาตามอาการต่อไป ห้ามใช้ oxime หรือ 2-PPM โดยเด็ดขาด
ข้อควรรู้ – ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 15 วัน
– เป็นอันตรายต่อปลา
คาร์แทพ
(cartap)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงไธโอคาร์บาเมท(thiocarbamate) ออกฤทธิ์ได้ในทางสัมผัสถูกและกินตาย cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก(หนูตัวผู้) 345 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนกอแถบลาย หนอนกอสีครีม หนอนกอหัวดำ หนอนม้วนใบ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด หนอนชอนใบส้ม หนอนใยกะหล่ำ ด้วยงวงเจาะสมอฝ้าย ด้วงเจาะหัวมันฝรั่ง หนอนผีเสื้อขาวกะหล่ำ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ข้าว ส้ม มันฝรั่ง ถั่วต่าง ๆ องุ่น ชา ข้าวโพด ผักต่าง ๆ ไม้ผลและพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 4% จี และ 50% เอสพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 4% จี ใช้อัตรา 4 กก./ไร่ หว่านให้ทั่วพื้นที่ ชนิด 50% เอสพี ใช้อัตรา 10-20 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชเมื่อพบเห็นแมลงรบกวนพืชครั้งแรก ใช้ซ้ำตามความจำเป็น ควรศึกษารายละเอียดการใช้จากฉลากเพิ่มเติมก่อนใช้
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการคลื่นไส้ ตัวสั่น น้ำลายฟูมปาก กล้ามเนื้อหดเกร็ง หายใจขัดและม่านตาขยาย
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้า เข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปต้องทำให้คนไข้อาเจียนโดยการใช้นิ้วล้องคอหรือ ให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น ๆ แล้วนำส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ sulphydryl agents เป็นยาแก้พิษ I-cysteine ใช้ฉีดแบบ IV หรือฉีดด้วย BAL แบบ IM เพื่อรักษาคนไข้
ข้อควรรู้ – อาจมีอันตรายต่อฝ้าย
– เป็นพิษต่อปลา, ส่วนในผึ้งเป็นพิษต่ำ
– อย่าผสมกับสารกำจัดศัตรูพืชอย่างอื่นที่มีสภาพเป็นด่าง(alkaline)
– ออกฤทธิ์ช้า แมลงจะหยุดกินอาหารเมื่อฉีดพ่นถูกตัว