ชื่อวิทยาศาสตร์ Leucinodes orbonalis Guenee

…..ลักษณะการทำลายหนอนเจาะผลมะเขือเปราะ หนอนเจาะชนิดนี้ทำความเสียหายให้แก่ยอดมะเขือเปราะเป็นประจำ ในบริเวณพื้นที่ปลูกมะเขือเปราะทั่วๆ ไป ในระยะต้นมะเขือเปราะกำลังเจริญเติบโต จะพบว่ายอดเหี่ยวเห็นชัดเวลาแดดจัด เพราะท่อน้ำท่ออาหารของพืชถูกทำลาย และเมื่อตรวจดูจะพบรูเจาะประมาณไม่เกิน 10 ซม. จากปลายยอด หนอนจะกัดกินภายใน การทำลายต่อยอดบางครั้งสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ผลเสียคือ ทำให้ยอดที่แข็งแรงถูกทำลาย ยอดใหม่ที่แตกมามีขนาดเล็กกว่า และผลมะเขือเปราะที่เกิดมายังได้รับความเสียหาย โดยหนอนเจาะผลทำให้เสียคุณภาพ ส่งขายไม่ได้ราคาครับ

…..การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด
พบการระบาดทั่วประเทศในบริเวณที่มีการปลูกมะเขือเปราะ และพบการทำลายยอดมากในฤดูฝน ส่วนผลถูกทำลายมากในฤดูแล้ง

<<< การป้องกันกำจัด >>>

1. ก่อนปลูก ควรทำการไถพรวน และตากดิน เพื่อกำจัดดักแด้ของแมลงศัตรูที่อาจหลงเหลืออยู่
2. ฉีดพ่นป้องกัน โดย อีมาเม็กตินเบนโซเอท 5% อัตรา 10-15 กรัม หรือ แลมบ์ด้า-ไซฮาโลทริน อัตรา 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร

1 สารคลอโรทาโลนิลจัดเป็นสารควบคุมโรคราน้ำค้าง ราแป้ง หรือใบจุด ในกุหลาบ โดยสารชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นด่าง
2. ฟอสอิทิลอะลูมิเนียม จัดเป็นสารควบคุมโรครากเน่าโคนเน่า หรือโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อราในใบ ข้อจำกัดคือห้ามพ่นในช่วงระยะออกดอก และผลอ่อน
3. สารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และแบคทีเรีย เช่นโรคแคงเกอร์ ข้อจำกัดคือ ห้ามนำสารชนิดนี้ไปผสมกับสารอื่น
4. สารคอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ สามารถควบคุมโรคได้กว้าง คุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติโตของเชื้อรา ข้อดีคือสามารถผสมเข้ากับสารตัวอื่นๆได้ และเมื่อละลายน้ำแล้วจะไม่มีตะกอน ขอแนะนำให้ฉีดพ่นเชิงป้องกันจะดีกว่าให้พืชแสดงอาการ
5. โรคใบจุดตากบในใบยาสูบ ขอแนะนำให้ใช้ คาเบนดาซิม สลับกับเบโนมิลหรือแมนโคเซบ จะดีกว่า ไม่ควรใช้สารคลอโรทาโลนิล เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของคลอไรด์ในใบขณะเก็บเกี่ยว
6. สารคาร์บอกซิม จัดเป็นสารควบคุมโรคในท่อนพันธุ์ ป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าได้ดี ถ้าเป็นโรคราไยแมงมุมในแตงโม ขอแนะนำให้ใช้คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ หรือคาร์เบนดาซิมจะดีกว่าครับ
7. สำหรับไรแดงนั้นแนะนำให้ใช้ อามีทราซ หรืออาบาเมกติน ก็พอเนื่องจากยังมีประสิทธิภาพดี ราคาถูก และหาซื้อได้งาย อีกทั้งไม่มีอาการเป็นพิษกับพืช ข้อสำคัญคือ อามีทราซยังสามารถเป็นสารคุมไข่ (Ovicide) ของไรได้อีกด้วย

สารเคมีชนิดผงเป็นสารเคมีที่เราใช้อยู่เป็นประจำสำหรับสวนมะนาวยกตัวอย่างเช่น คอปเปอร์ ไฮดรอกไซด์ ที่ใช้ในการป้องกันโรคแคงเกอร์ สารเคมีแบบนี้จะอยู่ในรูปไมโครไนซ์ ซึ่งมีอนุภาคเป็นผลึกและมีขนาดเล็กมากๆประมาณ 2-4 ไมครอน แต่สารเคมีแบบนี้ย่อมมีน้ำหนักในตัวเอง และสามารถยึดเกาะกับใบของมะนาวได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่มีเกษตรกรหลายท่านยังเข้าใจผิดและใช้สารจับใบเป็นตัวผสมเพื่อจะให้ตัวยายึดเกาะกับใบหรือต้นของมะนาว หากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่า เมื่อใช้สารจับใบผสมตัวอยาชนิดผงจะพบว่าใบของมะนาวเปียกทั่วถึงดีมากเนื่องจากสารจับใบจะช่วยลดแรงตึงผิวลง ทำให้สามารถน้ำและสารเคมีจะกระจายตัวไปเปียกบนใบและส่วนต่างของมะนาวอย่างทั่วถึง แต่ตัวสารเคมีชนิดผงนั้นจะเป็นอนุภาคที่มีน้ำหนัก ดังนั้นจึงย่อมหนีไม่พ้นหลักการของแรงโน้มถ่วงคือ เฉพาะตัวสารเคมีร้อยละ 80 จะไหลไปกองรวมอยู่บริเวณส่วนที่ต่ำกว่าเสมอ จึงทำให้ตัวสารเคมีนั้นไม่ยึดเกาะแบบกระจายทั่วถึงแต่จะไปกองรวมกันอยู่ในส่วนที่ต่ำกว่า ลองให้เกษตกรที่ใช้สารเคมีที่เป็นชนิดผงสังเกตดูได้ หากฉีดพ่นโดยไม่ใช้สารจับใบจะพบว่าในส่วนของใบหรือลำต้นของมะนาวนั้นจะมีตัวอยากระจายติดอยู่สม่ำเสมอ สารจับใบจะใช้ได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงจะสามารถใช้กับสารเคมีที่เป็นน้ำ เช่นอะบาแม๊กติน เป็นต้น เนื่องจากสารเคมีน้ำจะสามารถทำละลายกับน้ำได้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อฉีดพ่นแล้วจะเปียกทั่วถึง

ดังนั้นสารจับใบควรเลือกใช้กับสารเคมีในรูปแบบและชนิดที่เหมาะสมเท่านั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงสุดและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลงมา การใช้สารจับใบควรใช้ในบริมาณที่กำหนดตามฉลาก อย่าใช้มากเกินไปเนื่องจากอาจทำให้ใบมะนาวอ่อนๆเกิดอาการแพ้ได้และทำให้ใบใหม้หรือหงิกงอได้

การค้นพบสารไพรีทรินส์ (pyrethrins)จากดอกไพรีทรัม Chrysanthemum cinerariaefolium ซึ่งประเทศจีนและยุโรปมีการใช้กันมานาน จนกระทั่งปี 2458 ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ผลิตเป็นการค้า หลังจากนั้นปี 2492 ได้ผลิตสารเลียนแบบสูตรโครงสร้างของสารไพรีทรินส์ จึงเรียกว่าไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น อัลเลอร์ทริน ไบโอเรสเมทริน เตตราเมทริน และไบโออัลเลอร์ทริน แต่ยังไม่คงทนในสภาพแวดล้อม ต่อมาสามารถสังเคราะห์ เพอร์เมทรินที่มีความคงทนต่อแสงแดดและมีพิษต่อสัตว์เลือดอุ่นน้อยลง

Read More

คำแนะนำให้ใช้เสริมจากการให้ปุ๋ยเม็ดทางดินปกติ เป็นการให้ธาตุอาหารให้ครบ เพื่อความสมบูรณ์ แข็งแรง ช่วยให้ต้นทนร้อนทนแล้งทนฝนทนหนาวได้ดี มีภูมิทนทานแมลงและโรค ติดดอกออกผลสม่ำเสมอ ดอกผลไม่ร่วงไม่ฝ่อ ผลโตไส้ไม่ล้มไม่แตก เนื้อแน่นสีแดงสวย ความหวานเยี่ยม น้ำหนักดี ผลคงความสดได้นาน ทนทานต่อการขนส่ง ทุกๆพืชก็ใช้ปุ๋ยเหมือนๆกัน ขึ้นกับช่วงอายุของแต่ละพืช

ระยะกล้า
ใช้ แซทเทิร์น-มิกซ์ + แซทเทิร์น-โบรอน + แซทเทิร์นเฟอร์16-8-32 สลับ แซทเทิร์น-มิกซ์ + แซทเทิร์น-ไฮแคลแมก + แซทเทิร์นเฟอร์ 20-20-20

Read More

ด้วงเต่าแตงแดง (red cucurbit leaf beetle)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Aulacophora indica (Gmelin)

วงศ์ Chrysomelidae

อันดับ Coleoptera

ความสำคัญและลักษณะการทำลาย

ด้วงเต่าแตงแดงจะพบเป็นปัญหาอยู่เสมอกับแตงที่เริ่มงอกยังมีใบน้อยการทำลายยอดแตงโดยแทะกัดกินใบหากการระบาดรุนแรงอาจทำให้ชะงักการทอดยอดได้ด้วงเต่าแตงแดงพบระบาดในสวนแตงที่มีวัชพืชขึ้นหนาแน่นทั้งนี้เพราะตัวอ่อนอาศัยกัดกินรากพืชจึงมักเป็นปัญหาในแหล่งปลูกแตงใหม่บริเวณรอบๆที่ไม่มีการไถพรวนและปราบวัชพืชเพียงพอพบระบาดแทบทุกฤดูโดยเฉพาะในช่วงที่แตงเริ่มแตกใบจริงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักพบเสมอๆ

Read More