กลุ่มไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ เป็นผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันปิโตรเลียม มีการใช้กันแพร่หลายมานานหลายศตวรรษ แต่ประสิทธิภาพอาจไม่เทียบเท่าสารเคมีสังเคราะห์ ไวท์ออยล์ (white oil) มีชื่อพ้องหลายชื่อ เช่น ไมเนอรอลออยล์ นิวทรอลออยล์ และพาราฟินออยล์ แต่ที่นำมาใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ต้องเป็นเกรดที่ใช้กับพืชอาหาร (food grade) ในต่างประเทศให้มีการจำหน่ายไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ ใช้กำจัดแมลงและไรศัตรูพืช โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตร แต่ในประเทศไทยเนื่องจากราชการต้องการคุ้มครองเกษตรกร ให้สามารถตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ผลิตที่กระทำผิด เช่น เปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์ไม่ถูกต้อง หรือมีฉลากไม่ตรงกับที่ขึ้นทะเบียนและขยายฉลากไว้ หรือมีการโฆษณาหรือนำสารไปใช้โดยมีการกล่าวอ้างสรรพคุณในการกำจัดศัตรูพืชเกินจากข้อเท็จจริง จึงกำหนดให้ไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ร่วมกลุ่มเดียวกันกับสารสกัดสะเดา เชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช (บีที ไวรัสเอ็นพีวี เชื้อราบิวเวอร์เรีย เชื้อราเมทาไรเซียม เชื้อราไตรโคเดอมา) โดยแตกต่างจากสารเคมีสังเคราะห์ที่รับขึ้นทะเบียนจะเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 สำหรับไวท์ออยล์ที่ขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรในประเทศไทยมี รหัส Chemical Abstract Service (CAS) Registry Number (CAS number) เป็น 8012-95-1 คือสูตร 67%EC นอกนี้จะมีปิโตรเลียมออยล์ 83.9%EC ความแตกต่างขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอมของคาร์บอนที่อยู่ในสูตรโมเลกุลหรือสูตรโครงสร้าง โดยปกติจะมีคาร์บอนอยู่ระหว่าง 21 – 25 ซึ่งจะมีผลทำให้ CAS number แตกต่างกัน
ข้อมูลความเป็นพิษ (ข้อมูลของไวท์ออยล์ 67%EC)
– พิษเฉียบพลันทางปากกับหนู มากกว่า 2000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว
– พิษเฉียบพลันทางผิวหนังกับหนู มากกว่า 2000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำหนักตัว
– พิษเฉียบพลันทางระบบหายใจกับหนู มากกว่า 1.593 มิลลิกรัม/ลิตร
จากข้อมูลข้างต้นสรุปว่าสารไวท์ออยล์ 67%EC จัดอยู่ในกลุ่มมีพิษน้อย (slightly hazardous) ตามการจำแนกขององค์การอนามัยโลก แถบสีในฉลากจึงเป็นสีน้ำเงิน
กลไกการออกฤทธิ์และการนำไปใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช
1.เป็นสารที่ทำลายแมลงทางกายภาพ (Physical poison) กลไกการออกฤทธิ์จะไปขัดขวางหรืออุดรูหายใจ(Suffocation) และดูดความชื้น (Desiccation) ในตัวแมลงทำให้แมลงตาย นอกจากนี้ยังไปชะล้างไขมันที่ผนังลำตัวของแมลงบางชนิด เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย ไรแดง รวมทั้งไปเคลือบไข่ของแมลงทำให้ไข่ไม่ฟัก
2.มีผลต่อพฤติกรรมการวางไข่ของแมลง การพ่นสารไวท์ออยล์หรือปิโตรเลียมออยล์จะทำให้พืชมีกลิ่นเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผีเสื้อเพศเมียวางไข่น้อยลง เช่น กรณีของแมลงวันทองพริก ลดการวางไข่เนื่องจากผิวของผลพริกเคลือบด้วยไขมัน ทำให้การลดการทำลายของแมลงวันทองในพริกได้
3. ใช้ในลักษณะของสารเสริมประสิทธิภาพ (Adjuvants) จากการวิจัยพบว่าการใช้สารกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ (อิมิดาโคลพริด ไทอะมีโทแซม โคลไทอะนิดิน ไดโนทีฟูแรน) ผสมกับไวท์ออยล์ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยแป้งในน้อยหน่า เพลี้ยแป้งในมันสำปะหลัง แมลงหวี่ขาวในผักชีฝรั่ง แมลงหวี่ขาวในกะเพรา เพลี้ยไฟในโหระพา โดยสารในกลุ่มน้ำมันจะช่วยเสริมหรือเพิ่มฤทธิ์ของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ส่งเสริมให้สารเกาะยึดติด หรือกระจายตัว และแทรกซึมผ่านชั้นไขมันของใบพืชโดยเฉพาะการใช้สารที่ออกฤทธิ์ดูดซึม นอกจากนี้มีรายงานว่าสารกลุ่มน้ำมันจะช่วยยืดอายุทำให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอยู่ได้นานขึ้น เนื่องจากจะช่วยชะลอการระเหยตัว ป้องกันแสงแดด และป้องกันการชะล้างจากฝน อัตราที่ใช้สำหรับผสมสารเคมีอื่น อยู่ที่อัตรา 20 – 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
4.การใช้เป็นสารป้องกันกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชโดยตรง สำหรับไวท์ออยล์ และปิโตรเลียมออยล์ มีงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรว่าสามารถใช้ป้องกันกำจัดแมลงจำพวกปากดูดหลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไก่แจ้ส้ม แมลงปากกัดหลายชนิด เช่น หนอนชอนใบส้ม รวมทั้งไรแดงในส้ม และทุเรียน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าป้องกันกำจัดโรคพืชบางชนิดได้ เช่น โรคราแป้ง โรคราดำ เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้แบบสารเดี่ยวอยู่ที่อัตรา 50 – 150 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ขึ้นกับชนิดพืช และศัตรูพืช จากการวิจัยของผู้เขียนพบว่าแมลงหวี่ขาวในกะเพราและผักชีฝรั่ง สร้างความต้านทานต่อสารกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ จนทำให้การพ่นสารไวท์ออยล์เดี่ยวๆ มีประสิทธิภาพดีกว่า หรือช่วงที่ระบาดรุนแรงให้ใช้สารบูโพรเฟซีน 40%SC อัตรา 20 ซีซี หรือบูโพรเฟซีน 25%WP อัตรา 40 กรัม
ข้อควรระวัง
การใช้สารไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์อาจมีข้อจำกัดบ้าง เช่น ไม่ควรใช้ความเข้มข้นเกิน 1% หรือผสมสารที่มีส่วนผสมของคอปเปอร์ หรือซัลเฟอร์(กำมะถัน) สารโพรพาไกต์ เนื่องจากอาจเกิดความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) มากกว่านั้นมีข้อมูลว่าไม่ควรใช้ในช่วงสภาพอากาศแบบฟ้าปิด หรือฝนจะตก เนื่องจากจะทำให้น้ำมันระเหยช้า หรือสะสมในพืชทำให้เกิดความเป็นพิษต่อพืชได้
ขอขอบคุณ บริษัท เชอร์วู้ด เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูล Material Safty Data Sheet ของสารไวท์ออยล์ เพื่อประกอบข้อมูลบทความนี้
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
พวงผกา อ่างมณี สุเทพ สหายา และวาทิน จันทร์สง่า. 2554. การทดสอบประสิทธิภาพสารฆ่า
แมลงและสารสกัดจากธรรมชาติในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งในน้อยหน่า. รายงานผลงานวิจัยประจำปี 2553 (เล่มที่ 1) สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ . หน้า 110 – 123.
นิรนาม. 2551ก. รายงานการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันทางปากของผลิตภัณฑ์ “ ไวต์ออยล์
(Vite Oil)”. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). 10 หน้า.
นิรนาม. 2551ข. รายงานการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันทางผิวหนังของผลิตภัณฑ์ “ ไวต์ออยล์ (Vite
Oil)”. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). 9 หน้า.
นิรนาม. 2551ค. รายงานการทดสอบการก่อความระคายเคืองต่อผิวหนังของผลิตภัณฑ์ “ ไวต์ออยล์ (Vite
Oil)” ในกระต่าย. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). 6 หน้า.
สุเทพ สหายา และพวงผกา อ่างมณี . 2554. ทดสอบประสิทธิภาพสารป้องกันกำจัดแมลงหวี่ขาวและ
หนอนชอนใบในผักสวนครัว(กะเพรา โหระพา และแมงลัก). รายงานผลงานวิจัยประจำปี 2553 (เล่มที่ 2) สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ . หน้า 1519 – 1531.
Anonymous. 2011a. Acute Oral Toxicity Study of White oil 67%W/V EC(80%W/W)[VITE OIL] in
Rat. JAI RESEARCH FOUNDATION, Department of Toxicology,Gujarat,INDI. 9Pages.
Anonymous. 2011b. Acute Dermal Irritation Study of White oil 67%W/V EC(80%W/W)[VITE OIL]
in Rat. JAI RESEARCH FOUNDATION, Department of Toxicology,Gujarat,INDI. 8Pages.