ศัตรูตัวร้ายของการเพาะปลูก ในช่วงปีที่ผ่านมาอากาศแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ ทำให้การระบาดของเพลี้ยไฟ ตลอดทั้งปี สร้างความเสียหายมากมาย การตรวจพบการระบาดตั้งแต่เนิ่นๆจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันกำจัด
หลักในการจัดการก็คือ เราต้องเดินตรวจสวนเองทุกวัน ถ้าตัดไม้เอง กำไม้เองก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะเราจะได้พบเห็นปัญหาตั้งแต่เริ่ม การป้องกันกำจัดสามารถทำได้ทันทีทันเหตุการณ์ โดยปกติ เพลี้ยไฟ จะเกิดระบาดทำลาย ด้านใดด้านหนึ่งของสวนก่อนจะขยายตัวระบาดไปทั่วทั้งสวน
เราจะพบ เพลี้ยไฟ บริเวณยอดช่อดอกและในดอกบาน ปลายยอดช่อดอกจะบิดงอ สีดอกจะซีดจาง ชาวสวนบางคนเรียก เพลี้ยไฟ ว่า ตัวกินสี ตามอาการที่เกิดกับกลีบดอก เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กราวๆปลายเข็ม วัยแรกจะมีสีลำตัวขาวขุ่น วัยสองมีสีขาวใส วัยสามสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองใส ตัวเต็มวัยมีสีเหลืองเข้ม ขนาดลำตัวยาว 0.8 – 1.0 มิลลิเมตร บริเวณส่วนหลังจะเห็นปีกชัดเจน
การป้องกันกำจัดด้วยสารกำจัดแมลงควรทำควบคู่กับการตัดช่อดอกในบริเวณที่มีการระบาด สำหรับ เพลี้ยไฟ ให้ตัดช่อที่มีดอกบาน ช่อดอกที่ตัดทิ้งจะต้องเก็บใส่ถุงปิดปากถุงให้มิดชิด เอาไปตากแดดหรือเผาทำลาย ห้ามทิ้งไว้บนดินเพราะมันจะกระจายตัวต่อ เพื่อเป็นการลดจำนวนไข่และตัวอ่อนก่อนที่จะใช้สารกำจัดแมลง วิธีนี้จะช่วยให้การกำจัดมีประสิทธิภาพและสามารถยับยั้งการทำลายในระยะเวลาสั้นๆ การระบาดจะไม่กระจายไปทั่วทั้งสวน
ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตสารกำจัดแมลง ได้จัดแบ่งสารกำจัดแมลงตามกลไกการออกฤทธิ์เป็น 28 กลุ่ม และแนะนำให้ใช้สารกำจัดแมลงสลับกลไกการออกฤทธิ์ เพื่อลดการสร้างความต้านทาน ในหนึ่งช่วงชีวิตของแมลง 30 – 45 วัน ควรใช้สาร 5 – 6 กลุ่มกลไกการออกฤทธิ์สลับกัน
ในที่นี้จะขอแนะนำสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มของสารและกลไกการออกฤทธิ์
กลุ่ม 4 เอ นีโอนิโคตินอยด์ (กระตุ้นจุดรับนิโคตินิคอะเซททิลโคลีน ระบบประสาท)
อิมิดาโคลพริด ไทอะมีโทแซม โคลไทอะนีดิน ไดโนทีฟูแรน
อะเซทามิพริด ไทอะโคลพริด
เป็นสารดูดซึมทั้งกลุ่ม ในกรณีที่มีการระบาดรุนแรงให้ใช้สารกลุ่มนี้ 2 ครั้งต่อเนื่องกัน
กลุ่ม 2 บี เฟนนิลไพราโซล(ขัดขวางการทำงานของGABAทางช่องผ่านคลอไรด์ ระบบประสาท)
ฟิโพรนิล อีทิโพรล
แมลงที่ต้านทานสารกลุ่มคาร์บาเมท ออแกโนฟอสเฟท ไพรีทอยด์ จะไม่ต้านทานสารกลุ่มนี้
กลุ่ม 1 เอ คาร์บาเมท (ยับยั้งเอนไซม์อะเซททิลโคลินเอสเตอร์เรส ระบบประสาท)
คาร์โบซัลแฟน เมโธมิล ฟีโนบูคาร์บ
เบนฟูราคาร์บ ฟอร์มีทาเนท เมธิโอคาร์บ
กลุ่ม 1 บี ออแกโนฟอสเฟท (ยับยั้งเอนไซม์อะเซททิลโคลินเอสเตอร์เรส ระบบประสาท)
อะซีเฟท ไดเมทโธเอท โอเมทโธเอท คลอไพรีฟอส
ไดอาซิโนน อีพีเอ็น ฟอสซาโลน โพรฟีโนฟอส
กลุ่ม 3 เอ ไพรีทอยด์สังเคราะห์ (รบกวนช่องผ่านโซเดียม ระบบประสาท)
ไบเฟนทริน เบต้าไซฟลูทริน ไซฮาโลทริน-แอล ไซเปอร์เมทริน
เบต้าไซเปอร์เมทริน ซีต้าไซเปอร์เมทริน อีโทเฟนพรอก เฟนโปรพาทริน
กลุ่ม 6 อะเวอร์เมคติน (กระตุ้นการทำงานของช่องผ่านคลอไรด์ ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ)
อะบาเมคติน อีมาเมคตินเบนโซเอท
กลุ่ม 5 สปินโนซิน (เลียนแบบตัวกระตุ้นจุดรับนิโคตินิคอะเซทติลโคลิน ระบบประสาท)
สปินโนแซด สไปนีโทแรม
กลุ่ม 23 เทโทรนิคและเตตรามิค (ยับยั้งเอนไซม์อะเซทติลโคเอคาร์บอกซิเลส ระบบเจริญเติบโต)
สไปโรมีซีเฟน สไปโรไดโคลเฟน สไปโรเตตราแมท
รอบการฉีดสารกำจัดแมลง ทุก 5-7 วัน เริ่มต้นจาก
กลุ่ม 4 เอ >>> กลุ่ม 2 บี >>> กลุ่ม 1 เอ >>> กลุ่ม 6 >>> กลุ่ม 1 บี >>> กลุ่ม 3 เอ นอกจากเราจะหมุนเวียนสารกำจัดแมลงตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ ในแต่ละกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เรายังสลับสับเปลี่ยนตัวสารกำจัดแมลงไม่ให้ซ้ำกันอีกด้วย และแต่ละชนิดให้ใช้ตามอัตราที่แนะนำ
การหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ (Mode of Action) เปรียบเหมือนเมื่อเราต่อสู้กับศัตรู เราต้องใช้อาวุธที่มีอยู่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ทางหรือปกป้องตัวเองได้ เช่น หมัดซ้าย หมัดขวา เตะซ้าย เตะขวา ศอกซ้าย ศอกขวา เข่าซ้าย เข่าขวา หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ที่เราจัดให้ 5-6 กลุ่ม เมื่อใช้สลับ 5-7 วัน/ครั้ง ก็จะครอบคลุมระยะเวลา 30-45 วัน ซึ่งจะใกล้เคียงกับ 1 ชั่วอายุ (Life cycle) แมลงได้รับแต่ละกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพียงครั้งเดียวโอกาสที่จะสร้างการต้านทานก็น้อย หรือกลุ่มที่เป็นพระเอกเราก็ให้ใช้ 2 ครั้งต่อเนื่องกันไม่มากกว่านั้น
ขณะเดียวกัน การหมุนเวียนสารฯในแต่ละกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ เปรียบเหมือน ในหมัดซ้าย ก็ยังมี แย๊บซ้าย ซ้ายตรง อัปเปอร์คัดซ้าย ฮุคซ้าย อื่นๆให้เราเลือกใช้ได้อีก ยิ่งหมุนเวียนยิ่งสลับสับเปลี่ยนบ่อยเท่าไหร่ โอกาสที่แมลงจะสร้างความต้านทานก็ยิ่งยากเท่านั้น
ตัวอย่างการหมุนเวียนกลไกการออกฤทธิ์
ครั้งที่ รอบที่ 1 รอบที่ 2 รอบที่ 3 รอบที่ 4
1. กลุ่ม 4เอ อิมิดาโคลพริด อะเซทามิพริด ไทอามีโทแซม ไทอะโคลพริด
2. กลุ่ม 2บี ฟิโพรนิล อีทริโพรล ฟิโพรนิล อีทริโพรล
3. กลุ่ม1เอ คาร์โบซัลแฟน เมโธมิล ฟีโนบูคาร์บ เมธิโอคาร์บ
4. กลุ่ม 6 อะบาเมคติน อีมาเมคติน อะบาเมคติน อีมาเมคติน
5. กลุ่ม 1บี อะซีเฟท ไดเมทโธเอท คลอไพรีฟอส อี พี เอ็น
6. กลุ่ม 3เอ ไซเปอร์เมทริน ไบเฟนทริน ไซฮาโลทริน อีโทรเฟนพรอก
ในสถานะการณ์จริง กลุ่มที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยไฟ ที่เรารู้ๆกัน หาง่าย ราคาถูก ก็คือ
กลุ่ม 4 เอ นีโอนิโคตินอยด์ สารฯที่เลือกใช้กันเป็นพื้นก็คือ อิมิดาคลอพริด การหมุนเวียนในกลุ่มก็ไม่มี จึงแนะนำเพิ่มไปว่า สารกลุ่มนี้แต่เดิมจัดแบ่งเป็น 3 generation ตามกลุ่มเคมีหลักที่เป็นองค์ประกอบ
-คลอโรนิโคตินิล………อิมิดาคลอพริด,…อะเซทามิพริด,…ไทอะคลอพริด,…ไนเทนไพแรม
-ไนโตรกัวนิดิน……….ไทอะมีโทแซม,….โคลไทอะนิดิน
-ไนโตรเมธิลิน………..ไดโนทีฟูแรน
หลังการใช้มานานหลายปีและแมลงสร้างความต้านทานอย่างมาก ได้มีการศึกษาและรู้ว่าแมลงสร้างความต้านทานที่จุดกลุ่มเคมีในโครงสร้างต่างกัน (Pharmacophor) จึงมีการจัดกลุ่มย่อยใหม่ เพื่อให้มีการหมุนเวียนการใช้อย่างถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น
-เอ็น-ไนโตรกัวนิดิน……..อิมิดาคลอพริด,…ไทอะมีโทแซม,…โคลไทอะนิดิน,…ไดโนทีฟูแรน
-เอ็น-ไซยาโนอะมิดิน……อะเซทามิพริด,…..ไทอะคลอพริด
-ไนโตรเมธืลิน…………..ไนเทนไพแรม
เรียบเรียงและส่งต่อความรู้โดย
อ.สุรชัย ซอปิติพร