กวางตุ้ง หรือชื่อวิทยาศาตร์ Brassica Pekinensis เป็นผักที่นิยมนำไปใช้ประโยชน์ทั้งใบและลำต้น มีระบบรากอยู่ในระดับตื้น ลำต้น ตั้งตรง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.4-1.8 เซนติเมตร สูงประมาณ 43-54 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวมีสีเขียวตรงกลางจะเว้าเข้า ส่วนใบจริงจะแตกเป็นกระจุกที่บริเวณโคนต้น ลักษณะเรียบไม่ห่อตัว มีช่อดอกยาว 50-90 เซนติเมตร ดอกตูมรวมกลุ่มอยู่บนยอดช่อดอก ดอกบานจากด้านล่างขึ้นไปหาด้านบน อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 35-45 วัน

Read More

สารเคมีสำหรับป้องกัน และ กำจัดเชื้อรา  มีหลากหลายชนิด  และมีคุณสมบัติรวมถึงการใช้งานแตกต่างกันไป

โดยในส่วนที่รวบรวมมานี้   ท่านสามารถเลือกนำไปใช้ให้เหมาะสม

ทั้งเป็นการป้องกัน ก่อนเกิดโรค  หรือ  เมื่อพบอาการที่เกิดขึ้นแล้ว

1. Carbendazim  50%  (คาร์เบนดาซิม 50%)

เป็นยาประเภทดูดซึม  ใช้ในปริมาณน้อยมาก เพียง  10 กรัม / น้ำ 20 ลิตร

รักษาโรครา  — ใบแห้งขีดสีน้ำตาล ,ใบจุด ,ใบไหม้ และ โรคแอนแทรคโนส

Read More

เขียวเข้มปะขาว

มะเขือเปราะ (Thai Eggplant) เป็นมะเขือที่นิยมรับประทานสดหรือใช้ประกอบอาหาร เพราะผลมะเขือเปราะมีความกรอบ ไม่มีเส้นใย มีรสหวาน และรับประทานได้ทั้งผล

• วงศ์ : Solanaceae (วงศ์มะเขือ)
• ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum virginianum L.
• ชื่อสามัญ : Thai Eggplant
• ชื่อท้องถิ่นไทย :
ภาคกลาง และทั่วไป
– มะเขือเปราะ

Read More

หัวไชเท้า หรือ หัวผักกาดขาว จัดเป็นพืชผักประเภทให้หัวหรือรากที่นิยมใช้ประกอบอาหารจำพวกแกงต้มต่างๆ โดยเฉพาะแกงจืด นอกจากนั้น ยังนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หัวไชเท้าดองเค็ม รวมถึงใช้สกัดสารสำหรับทำยา และเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว

ผักกาดหัวเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบรอกโคลี แต่ลักษณะที่แตกต่างจากพืชในตระกูลเดียวกันคือ มีรากสะสมอาหารขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “หัว” ผักกาดหัวเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด มีขายในทุกฤดูกาล แต่หัวจะขาวอวบและเนื้อสวยเป็นพิเศษในฤดูหนาว ควรเลือกซื้อหัวที่มีผิวเรียบ อวบเต่งตึง แต่ก็ไม่ควรเลือกหัวใหญ่เกินไปเพราะอาจเป็นหัวที่แก่ เนื้อมีเสี้ยนมาก ผักกาดหัวมีหลายพันธุ์หลายสี พันธุ์ที่บ้านเรารู้จักและนิยมกินกันคือ ผักกาดหัวสีขาว หรือที่มักเรียกกันว่า หัวไช้เท้า

ผักกาดหัวปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 20 แคลอรี เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำและเส้นใยอาหาร โดยมีน้ำถึง 93.7 กรัม เส้นใยอาหาร 0.7 กรัม และสารอาหารอื่น ๆ อย่าง วิตามินบี1 บี 2 บี 3 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม การที่ผักกาดหัวให้พลังงานต่ำ มีน้ำและเส้นใยอาหารสูง จึงเป็นอาหารที่ช่วยให้อิ่มเร็ว ทำให้ลำไส้สะอาด และดีต่อระบบย่อยอาหาร เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือจำกัดแคลอรีในอาหาร

Read More

• ลักษณะทั่วไปของพืช
   – กล้วยน้ำว้าเป็นพืชล้มลุกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 2-5 เมตร
– ชอบอากาศร้อนชื้นและอบอุ่น อุณหภูมิที่เหมาะคือช่วง 15 – 35 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิที่ต่ำจะทำให้กล้วยแทงปลีช้า (การออกดอก)
– ควรมีความชื้นสัมพัทธ์อย่างน้อย 60% ปริมาณฝนตกเฉลี่ย 200-220 มม./เดือน
– ดินควรมีความสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี และการหมุนเวียนอากาศดี มีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่
ระหว่าง 4.5 – 7 แต่ที่ดีควรอยู่ในระดับ 6 ซึ่งจะพบทั่วๆไป ในพื้นที่แถบเอเชีย
– กล้วยน้ำว้าจะใช้ระยะเวลาการปลูกถึงเก็บเกี่ยวผลใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี จำนวน 10 หวี/เครือ
ตั้งแต่ปลูก จนถึงแทงปลีใช้ระยะเวลา 250-260 วัน แทงปลีถึงระยะ เก็บเกี่ยว 110-120 วัน

Read More

สารป้องกันกำจัดโรคพืช (Fungicide) แยกตามการทำงานได้ 4 แบบ
— แบบสัมผัส (Contact) จะเกาะอยู่บนพืชในส่วนที่เราฉีดพ่นไปถูกเท่านั้น ใช้เป็นการป้องกัน (Preventive) ส่วนของพืชที่เจริญขึ้นมาใหม่ จะไม่ได้รับการคุ้มครอง ตย.
สารกลุ่ม M ออกฤทธิ์หลายจุด เช่น สารประกอบทองแดง กำมะถัน แมนโคเซป โพรพิเนป แคปแทน คลอโรทาโลนิล เป็นต้น
— แบบแทรกซึม (Translamina หรือ Penetrant) เมื่อฉีดพ่นบนด้านหน้าใบ สารจะแทรกซึมลงไปถึงด้านใต้ใบ ตย.
กลุ่ม E3 ไอโพรไดโอน โพรไซมิโดน
กลุ่ม C3 คริโซซิม-เมทิล ไตรฟลอกซีสโตรบิน
กลุ่ม H5 ไดเมทโทมอร์ป เป็นต้น

Read More

กลุ่มไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ เป็นผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันปิโตรเลียม มีการใช้กันแพร่หลายมานานหลายศตวรรษ แต่ประสิทธิภาพอาจไม่เทียบเท่าสารเคมีสังเคราะห์ ไวท์ออยล์ (white oil) มีชื่อพ้องหลายชื่อ เช่น ไมเนอรอลออยล์ นิวทรอลออยล์ และพาราฟินออยล์ แต่ที่นำมาใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ต้องเป็นเกรดที่ใช้กับพืชอาหาร (food grade) ในต่างประเทศให้มีการจำหน่ายไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ ใช้กำจัดแมลงและไรศัตรูพืช โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตร แต่ในประเทศไทยเนื่องจากราชการต้องการคุ้มครองเกษตรกร ให้สามารถตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ผลิตที่กระทำผิด เช่น เปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์ไม่ถูกต้อง หรือมีฉลากไม่ตรงกับที่ขึ้นทะเบียนและขยายฉลากไว้ หรือมีการโฆษณาหรือนำสารไปใช้โดยมีการกล่าวอ้างสรรพคุณในการกำจัดศัตรูพืชเกินจากข้อเท็จจริง จึงกำหนดให้ไวท์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ร่วมกลุ่มเดียวกันกับสารสกัดสะเดา เชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช (บีที ไวรัสเอ็นพีวี เชื้อราบิวเวอร์เรีย เชื้อราเมทาไรเซียม เชื้อราไตรโคเดอมา) โดยแตกต่างจากสารเคมีสังเคราะห์ที่รับขึ้นทะเบียนจะเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 สำหรับไวท์ออยล์ที่ขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรในประเทศไทยมี รหัส Chemical Abstract Service (CAS) Registry Number (CAS number) เป็น 8012-95-1 คือสูตร 67%EC นอกนี้จะมีปิโตรเลียมออยล์ 83.9%EC ความแตกต่างขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอมของคาร์บอนที่อยู่ในสูตรโมเลกุลหรือสูตรโครงสร้าง โดยปกติจะมีคาร์บอนอยู่ระหว่าง 21 – 25 ซึ่งจะมีผลทำให้ CAS number แตกต่างกัน

Read More

สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Peronospora sparsa Berk. อาการเริ่มแรกจะเป็นแผลจุดช้ำสีเหลืองที่ผิวด้านบนของใบอ่อน ต่อมาแผลขยายขนาดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีม่วงอ่อนๆ จนถึงสีดำ ลักษณะแผลถ้าไม่ใช่โรคใบจุด หรือโรคแอนแทรกโนสให้มองไว้ได้เลยว่าคือราน้ำค้าง ขอบแผลสีเหลืองช่วงที่ความชื้นสูงอาจพบกลุ่มของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อราบริเวณแผลส่วนใต้ใบ อาการรุนแรงเกิดแผลจำนวนมาก แผลลุกลามสู่ใบล่างและกระจายทั่วต้น ใบเกิดอาการบิดเบี้ยว ยอดอ่อนชะงักการเจริญเติบโต ใบยอดม้วนงอ เหี่ยวเหลือง และร่วงในที่สุด โรคเกิดเร็วมาก ภายในไม่กี่วันใบอาจจะร่วงได้ อาจพบอาการแผลสีน้ำตาลที่กิ่งและยอดอ่อน เชื้อราสาเหตุนี้ จะแพร่ระบาดโดยสปอร์พัดปลิวไปตามลม น้ำ แมลง และสามารถอยู่ได้เป็นเดือนในใบที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นดินโดยสร้างเส้นใยและสปอร์ผนังหนาอยู่ในชิ้นส่วนที่เป็นโรค สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค คืออุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง แต่ถ้าอากาศแห้งเชื้อก็จะตายไปด้วย โดยจะไม่พบการแพร่ระบาดเมื่อความชื้นลดลงต่ำกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิสูงกว่า 32 องศาเซลเซียส

Read More

การผสมได้หรือไม่ได้ ระหว่างสาร
ไตรโคเดอร์มา
บิวเวอร์เรีย
เมธาไรเซียม
พาซิโลมัยซิส
บาซิลลัส ซับทีลิส

1. ไตรโค + บาซิลลัสได้
2. ห้ามใช้ไตรโคร่วมกับเชื้อราทุกเชื้อ (บิวเวอเรีย/เมธา/พาซิโล)
3. ห้ามใช้บิวเวอเรีย + เมธา + พาซิโล
4. บิวเวอเรีย หรือ เมธา หรือ พาซิโล + บาซิลลัสได้
5. เชื้อทุกชนิดใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีทางใบได้ครับ

ในการเริ่มต้นสำหรับการหาพื้นที่เพื่อทำการเกษตร หัวใจหลักที่เราต้องรู้ก่อนคือ สภาพดิน และ น้ำ ของพื้นที่ที่เราจะเริ่มต้น

ดินด่าง ถอยดีกว่า (วัดได้ด้วย pH meter)
ดินเค็ม กลับหลังหันลืมไปได้เลย (วัดได้ด้วย EC meter)

น้ำ…..ขอใช้ข้อมูลมาตรฐานคุณภาพน้ำ ของ กล้วยไม้ เป็นตัวเริ่มต้น
แหล่งน้ำในพื้นที่ที่เราเลือก จะต้องมีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี และแล้งต่อเนื่อง 2 ปีก็ยังมีน้ำพอใช้

ในกรณีที่เราจำเป็นต้องขุดบ่อเพื่อเก็บน้ำสำรอง คุณภาพดินตรงบริเวณบ่อจะเป็นตัวตัดสิน
ถ้าดินเป็นด่าง น้ำที่เอาเข้ามาเก็บ ก็จะมีฤทธิ์เป็นด่างไปด้วย ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกับคุณภาพและประสิทธิภาพของ สารกำจัดศัตรูพืช และ ปุ๋ย ยิ่งเป็นด่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างปัญหามากเท่านั้น pH น้ำที่เหมาะสม คือ 5.5-6.5
ถ้าเป็นดินเค็ม น้ำที่เอาเข้ามาเก็บก็จะละลายเกลือที่มีอยู่ออกมา ในกรณีนี้ ก็วัดค่าการนำไฟฟ้า ECw ซึ่งจะบอกว่าน้ำนั้นควรใช้หรือไม่ ถ้าเป็นน้ำเค็มที่มีค่าการนำไฟฟ้า > 1,000 ไมโครซีเมนส์/ซม. ควรจะส่งน้ำเข้าไปวิเคราะห์หาชนิด ปริมาณของเกลือแต่ละชนิด เพื่อตัดสินใจว่าน้ำใช้ได้หรือไม่ จะสามารถปรับแก้ได้หรือไม่ คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

Read More